Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ค้นพบเอกสาร ม้วนกระดาษโบราณ'การบ้าน' เก่า 1,300 ปี เผยชีวิต 'โรงเรียน' ในซินเจียงยุคโบราณ

ค้นพบเอกสาร ม้วนกระดาษโบราณ'การบ้าน' เก่า 1,300 ปี เผยชีวิต 'โรงเรียน' ในซินเจียงยุคโบราณ

สำนักข่าวซินหัวเปิดเผยว่า เอกสารฉบับหนึ่งที่ขุดพบเมื่อปี 1969 จากสุสานโบราณอาซือถ่าน่า ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองถู่หลู่ฟานทางตะวันออกของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ช่วยไขความกระจ่างเกี่ยวกับชีวิตในรั้วโรงเรียนของซินเจียงยุคโบราณ

เอกสารดังกล่าวเป็นม้วนกระดาษยาว 5 เมตร เขียนโดยปู่เทียนโซ่ว นักเรียนวัย 12 ปี เมื่อปี 710 ในยุคราชวงศ์ถัง ปู่คัดลอกเนื้อหาหลายบทจากตำราเรียนยุคดังกล่าว 2 เล่ม ได้แก่ คำอธิบายประกอบคัมภีร์หลุนอวี่ของขงจื่อ ซึ่งเขียนโดยเจิ้งเสวียน นักวิชาการผู้โด่งดัง และเชียนจื้อเหวิน บทกวีจีนที่ใช้เป็นพื้นฐานสอนตัวอักษรจีนให้เด็กในยุคโบราณ

ตี้ลี่หนู่เอ่อร์ หม่ายหมิง ผู้นำชมประจำพิพิธภัณฑ์ถู่หลู่ฟาน เผยว่าเด็กน้อยเขียนโคลงที่ไม่ค่อยถูกต้องนักอยู่ท้ายม้วนกระดาษว่า "การบ้านวันนี้เสร็จแล้ว ท่านอาจารย์อย่าสอนนานเกินนักเลย ให้เรากลับบ้านกันเร็วๆ เถอะ" ซึ่งทำให้เอกสารชิ้นนี้มีเนื้อหาที่ดูสนุกสนานและน่าสนใจมาก

เฉินอ้ายเฟิง รองคณบดีจากสถาบันการศึกษาถู่หลู่ฟาน ระบุว่าสำหรับมุมมองทางนิรุกติศาสตร์ คำอธิบายประกอบคัมภีร์หลุนอวี่ของขงจื่อโดยเจิ้งเสวียนนั้นสูญหายไปหลังยุคราชวงศ์ถัง ทว่าสำเนางานเขียนของปู่เทียนโซ่วและเอกสารอื่นๆ ที่ขุดพบในถู่หลู่ฟานช่วยมอบข้อมูลอันทรงคุณค่าสำหรับการศึกษาผลงานคลาสสิกของลัทธิขงจื่อ

"ระบบการศึกษาที่ค่อนข้างสมบูรณ์ถูกจัดตั้งในยุคราชวงศ์ถัง โดยเอกสารส่วนใหญ่ของเจิ้งเสวียนที่พบจากสุสานดังกล่าวเป็นฉบับสำเนาที่เขียนโดยนักเรียน ซึ่งบ่งชี้ว่าการศึกษาในซินเจียงยุคราชวงศ์ถังนั้นได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมที่ราบภาคกลาง" เฉินกล่าวทิ้งท้าย

ข้อมูลเพิ่มเติม

เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ (อุยกูร์: شىنجاڭ ئۇيغۇر ئاپتونوم رايونى-; จีน: 新疆维吾尔自治区)
เป็นเขตปกครองตนเองของจีนในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ เป็นเขตปกครองใหญ่ที่สุดของจีน เป็นเขตการปกครองชาติที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 8 ของโลก กินพื้นที่กว่า 1.6 ล้านตารางกิโลเมตร

และเป็นเขตการปกครองที่มีประชากรมากที่สุดติดอันดับหนึ่งในสิบ มีดินแดนพิพาทอักไสชินที่จีนบริหารอยู่ ซินเจียงมีพรมแดนติดต่อกับประเทศรัสเซีย มองโกเลีย คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน อัฟกานิสถาน ปากีสถานและอินเดีย

นอกจากนี้ยังมีพรมแดนติดต่อกับทิเบต มีน้ำมันสำรองอุดมสมบูรณ์และเป็นภาคที่ผลิตแก๊สธรรมชาติใหญ่ที่สุดของจีน

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ทำไม..รัฐบาลสหรัฐฯ ซ่อนขุมสมบัติที่เป็น "ชีส" 1.4 พันล้านปอนด์ ไว้ใต้รัฐมิสซูรีลึกหลายร้อยฟุต


ทำไม..รัฐบาลสหรัฐฯ ซ่อนขุมสมบัติที่เป็น "ชีส" 1.4 พันล้านปอนด์ ไว้ใต้รัฐมิสซูรีลึกหลายร้อยฟุต

รัฐบาลสหรัฐฯ ซ่อนขุมสมบัติที่เป็น "ชีส" หนักกว่า 1.4 พันล้านปอนด์ มันถูกอยู่ใต้เมืองสปริงฟิลด์ รัฐมิสซูรี มันอยู่อย่างนี้มานานแล้ว แต่ว่าทำไมรัฐบาลสหรัฐจึงทำเช่นนี้ .. คงต้องบอกว่าเรื่องมันยาว

ต้นกำเนิดที่แปลกประหลาดของ “ชีสของรัฐบาล” ตามที่ The Farmlink Project รายงาน มันเริ่มต้นเมื่อปี 1970 เมื่อประเทศขาดแคลนผลิตภัณฑ์นมและอัตราเงินเฟ้อสูงถึง 30% มันเป็นเหตุรัฐบาลสหรัฐฯต้องทำบางสิ่งอย่างเร่งด่วน

โดยในตอนนั้นรัฐบาลสหรัฐฯ ที่นำโดยประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ ได้ตัดสินใจที่จะแก้ปัญหาเงินเฟ้อด้วยการส่งเสริมอุตสาหกรรมนมของอเมริกา และเขาก็ใช้เงินไปเยอะมากสำหรับเรื่องนี้

รัฐบาลได้ทำการอัดฉีดเงินสดจำนวน 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นเงินที่มาจากรัฐบาลกลาง ในขณะที่อุตสาหกรรมนมพยายามออกผลิตภัณฑ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยพวกเขาไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่หมด นั้นเพราะรัฐบาลจะรับซื้อส่วนเกิดทั้งหมด (แบบแอบๆ)

แน่นอนว่านมสดไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน พวกเขาจึงคิดจะเปลี่ยนนมให้กลายเป็นชีสหรือเนยแข็ง เนื่องจากชีสสามารถจัดเก็บไว้ได้นาน .. พวกเขาทำแบบนี้มาเรื่อนๆ จนในที่สุดก็ถึงช่วงต้นทศวรรษ 80 รัฐบาลก็พบว่า พวกเขามีชีสอยู่ประมาณ 227 ล้านกิโลกรัม (500 ล้านปอนด์)

นมจำนวนมหาศาลถูกเก็บไว้ในโกดังมากกว่า 150 แห่งทั่ว 35 รัฐ โดยนักมานุษยวิทยา Bradley N Jones ได้เขียนไว้ใน The Oxford Companion to Cheese และไม่นานนักก่อนที่สื่อจะจับเรื่องอื้อฉาวนี้ได้ ..ในช่วงเวลาที่ประชาชนอดอยาก จนต้องพึ่งพาแสตมป์อาหาร แต่ที่นี่กลับนั่งอยู่บนภูเขาของผลิตภัณฑ์นมที่ไม่ได้กินและเริ่มเน่าเปื่อย

จนกระทั้งเกิดโครงการ Special Dairy Distribution Program ที่จัดขึ้นโดยประธานาธิบดี Ronald Reagan พวกเขาได้จัดสรรชีส 14 ล้านกิโลกรัม (30 ล้านปอนด์) ให้กับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ในขณะที่ของบริจาคส่วนใหญ่เป็นเชื้อรา แต่ของกินพวกนี้ก็ส่งต่อไปยังผู้หิวโหย

ถึงชีสพวกนี้จะเก่าและเป็นเชื้อรา มันก็ยังลดแรงกดดันทางการเงินให้กับประชาชนบางส่วนได้ นั้นเพราะชีสพวกนี้สามารถนำไปทำอาหารได้หลากหลาย ..จนในทศวรรษ 90 รัฐบาลก็เลิกกักตุนชีส แต่นั่นไม่ใช่ชีสชุดสุดท้ายที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ

จนในปี 2016 การกักตุนชีสเริ่มต้นขึ้นใหม่อีกครั้ง เนื่องจากรัฐบาลมีชีสส่วนเกินประมาณ 600 ล้านกิโลกรัมหรือ 1.4 พันล้านปอนด์ โดยสต็อกเหล่านี้อยู่ใต้พื้นดินหลายร้อยฟุตในรัฐมิสซูรี มันถูกเก็บไว้ในเหมืองหินปูนที่ดัดแปลงแล้วเรียกว่า “ถ้ำชีส” และจนถึงตอนนี้ ‘ชีส’ จำนวนมหาศาลก็ยังคงอยู่ที่เดิม

งานวิจัยอ้าง "ปรสิตแมว" สามารถทำให้ผู้ติดเชื้อมีเสน่ห์ ดูสวยหล่อขึ้นกว่าคนทั่วไปด้วย!!

งานวิจัยอ้าง "ปรสิตแมว" สามารถทำให้ผู้ติดเชื้อมีเสน่ห์ ดูสวยหล่อขึ้นกว่าคนทั่วไปด้วย!!

เชื่อว่าหลายๆ คนอาจเคยได้ยินเรื่องราวของปรสิตชื่อ "Toxoplasma gondii" หรือ "ปรสิตแมว" กันมาบ้าง นี่คือปรสิตที่พบได้ในผู้คนมากถึงราวๆ 30-50% ของโลก ซึ่งคาดกันว่าอาจสามารถทำให้คนที่ติดมันมีพฤติกรรมกล้าได้กล้าเสียมากขึ้นได้

แต่ล่าสุดนี้เองเราก็อาจจะพบความสามารถที่น่าสนใจของ ปรสิตตัวนี้อีกอย่างแล้วก็ได้ เมื่อล่าสุดนี้เอง มหาวิทยาลัยตูรกูของฟินแลนด์ได้ออกมาเปิดเผยว่า

Toxoplasma gondii อาจทำให้ผู้ติดเชื้อมีเสน่ห์ ดูสวยหล่อขึ้นกว่าคนทั่วไปด้วย!!

โดยนักวิทยาศาสตร์ค้นพบความเป็นไปได้นี้จากการที่ในอดีตเคยมีวิจัยพบว่าหนูตัวผู้ที่ติดปรสิตดังกล่าว จะมีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนสูงปกติ ซึ่งทำให้มันดึงดูดเพศตรงข้ามได้ดีกว่าหนูทั่วไป

ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงทำการทดลองเปรียบเทียบผู้ที่ติดปรสิต 35 คน กับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ได้ติดเชื้อ 178 คน โดยให้ อาสาสมัคร 205 คน ตัดสินให้คะแนนความสวยหล่อจากใบหน้าและพบว่า

โดยเฉลี่ยแล้วใบหน้าของผู้ติดเชื้อปรสิตจะได้รับคะแนนความสวยหล่อ มากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ติดเชื้อทั้งในผู้ชายชายและผู้หญิง

แถมพวกเขายังมักถูกมองว่ามีสุขภาพดีกว่า และในกลุ่มผู้ทดลองที่เป็นผู้หญิง พวกเธอยังมีค่าดัชนีมวลกายต่ำกว่าอีกกลุ่มด้วย

นี่อาจจะเป็นการค้นพบที่ฟังดูแปลกสำหรับหลายๆ คน แต่ในทางสมมุติฐาน ปรากฏการณ์นี้ก็ถือว่ามีเหตุมีผลอยู่ เพราะการทำให้โฮสต์มีเสน่ห์มากขึ้นเช่นนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อโอกาสในการแพร่ของเชื้อปรสิตได้นั่นเอง

ถึงอย่างนั้นก็ตาม ในปัจจุบันนักวิจัยก็ยังไม่อาจฟันธงได้แน่ชัดนักว่า Toxoplasma gondii นั้นสามารถทำให้พาหะของมันดูดีขึ้นได้จริงๆ ไหม หรือมันทำได้อย่างไร

เพราะผลการทดลองนี้สามารถมองในมุมว่าคนหน้าตาดีมักติดเชื้อ Toxoplasma gondii ได้ด้วย

แต่เรื่องหนึ่งที่เรามั่นใจได้ คือเราคงจะมีเรื่องราวที่ยังไม่รู้เกี่ยวกับเชื้อ Toxoplasma gondii อีกมาก ที่ยังต้องรอการศึกษาต่อไปในอนาคตเลย

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

พระบิดาเป็นคนที่ใครตามข่าวช่วงนี้ก็ต้องรู้จักแน่นอนวันนี้ผมมีเรื่องราวของพระบิดาแต่เป็นเวอร์ชั่นของเวียดนามมาเล่าให้ฟัง

พระบิดาเป็นคนที่ใครตามข่าวช่วงนี้ก็ต้องรู้จักแน่นอนวันนี้ผมมีเรื่องราวของพระบิดาแต่เป็นเวอร์ชั่นของเวียดนามมาเล่าให้ฟัง

เหงียนแทงนามพระบิดาของเวียดนามคนนี้แต่งงาน 9ครั้ง เกิดในครอบครัวนักการเมืองร่ำรวย จบการศึกษาด้านวิศวกรรมเคมีจากฝรั่งเศส 

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเหงี่ยนแทงนาม ว่าหลังจากเบื่อหน่ายทางโลกแล้ว เขาได้ไปนั่งสมาธิบนแท่นศิลาในวัดแห่งหนึ่งเป็นเวลา 3 ปี เก็บตัวเงียบทั้งวันและกลางคืน จนทำให้ร่างกายผายผอม มีแต่งหนังหุ้มกระดูก อาหารกินง่ายๆอย่างพวกผลไม้ และ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นมะพร้าว น้ำมะพร้าว

🤓เขาอาบน้ำเพียงปีละ 1 ครั้งในวันเกิดของพระพุทธเจ้าซึ่งก็คือวันวิสาขบูชา

พระบิดาคนนี้ตั้งตนศาสดาศาสนาใหม่มีแนวคิดทั้งพุทธ ผสม คริส รวมทั้งหลักคำสอนของตัวเองผสมกัน 

มีแนวคิดต่อต้านสงคราม เขาเคยถูกจับเข้าคุกครั้งหนึ่งเพราะส่งจดหมายต่อต้านไปถึงผู้นำประเทศท่ามกลาง สงครามเวียดนามที่กำลังดุเดือดในช่วงเวลานั้นในปี 1963 

เขาได้ก่อสร้างศาสนามะพร้าว ขึ้นที่จังหวัดบันเต๋อ และ ได้สร้างสถานที่ทางศาสนากลางแม่น้ำโขง โดยออกแบบให้มีอาคาร 3 ชั้นเพื่อสร้างหอคอย วิทยุ guesthouse สวนดอกไม้ และ เจดีย์

รูปภายนอกมีลักษณะคล้ายสวนสนุกของเก่าและในช่วงที่ศาสนามะพร้าวเจริญสูงสุดของศาสนานี้ มีผู้เลื่อมใสศรัทธานับถือมากถึง 4,000 คนเลยทีเดียว

ศาสนานี้ไม่มีการสวดมนต์ ไม่มีการไหว้พระ มีแต่การทำสมาธิ การถือศีลอด การรำลึก และ ส่งเสริมให้ผู้คนดำเนินชีวิตด้วยความเรียบง่าย เคารพในมารยาท รักซึ่งกัน และ กันยังชีพด้วยการกินเนื้อมะพร้าวและน้ำมะพร้าว โดยผสมความเชื่อจากศาสนาพุทธคริสต์ และคำสอนของผู้ก่อตั้ง 

ใน1975 เมื่อเวียดนามใต้พ่ายแพ้สงครามรัฐบาลใหม่ประกาศให้ศาสนามะพร้าวเป็นสิ่งผิดกฎหมาย

หลังจากเหงียนแทงงามเสียชีวิตในปี 1990 ศาสนามะพร้าวก็ถูกยุบอย่างเป็นทางการ...

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ความรักเกิดขึ้นได้พอๆ กับ...อกหัก...

ความรักเกิดขึ้นได้พอๆ กับ...อกหัก...

ยิ่งนานยิ่งรัก เกิดขึ้นได้พอๆ กับยิ่งนานยิ่งไม่รัก
การดูแลความสัมพันธ์ เหมือนการกำทราย
กำแน่นไป ทรายก็ร่วงออกจากมือหมด
กำเบาไป . . . ทรายก็ไม่อยู่ในมืออยู่ดี

เวลาผ่านไป ใช้ชีวิตอย่างธรรมชาติให้มากขึ้น
เมื่อไหร่รู้สึกเหนื่อย . . . ดีใจเถอะที่เหนื่อยเป็น
จะได้รู้สึกว่าควรพักซะที เหมือนคนที่ป่วยเป็น
แสดงว่าเราใช้ร่างกายมากเกินไปแล้ว . .

 

ถ้าไม่ป่วยซะบ้างเลย เราจะไม่รู้ว่าควรถนอมร่างกายได้หรือยัง

การรักคนอื่นก็ คือ การรักตัวเองอีกแบบหนึ่ง
อยู่คนเดียวเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า รักตัวเองหรือเปล่า
พอเริ่มรักใครซักคน . . . สิ่งที่ไม่เคยทำก็ทำ
. . . ไม่เคยหวานขนาดนี้ก็หวาน
ทำทุกอย่างที่จะรักษาคนที่เรารัก ให้อยู่กับเรานาน ๆ
เพราะอะไร . . . เพราะรักตัวเองและกลัวตัวเองเสียใจ

ความรักเป็นเรื่องของคน 2 คน มีความสุขทั้ง 2 คน
อย่าให้คนหนึ่งมีความสุข ในขณะที่อีกคนหนึ่งพยายาม
อย่าให้คนหนึ่งเสียใจ ในขณะที่อีกคนไม่รู้ตัว
อย่าให้คนหนึ่งรู้สึกดี ในขณะที่อีกคนเฉยๆ
อย่าให้คนหนึ่งอยากพูด แต่อีกคนไม่อยากฟัง
อย่าเหนื่อยใจที่จะถามกัน
อย่ากังวลกลัวเสียใจ . . . ก่อนที่จะคุยกัน

เธอ . . . คือเธอ
ฉัน . . . ก็เป็นฉัน
คน 2 คนที่รักกัน
ต่างคนต่างยังมีหัวใจของตัวเอง
จาก บล็อคหวานใจ
รักทรมาน

 

https://diarylovemanman.blogspot.com/2010/03/blog-post_27.html?m=1

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ห้องที่ล็อกถาวรในทัชมาฮาล เก็บงำความลับอะไรไว้

ห้องที่ล็อกถาวรในทัชมาฮาล เก็บงำความลับอะไรไว้

Secret room.. ที่ล็อกถาวรในทัชมาฮาล เก็บงำความลับอะไรไว้ ..ทัชมาฮาลเป็นหนึ่งในสถานที่ที่นักท่องเที่ยวเดินทางไปเยือนมากที่สุดของอินเดีย

ห้องต่าง ๆ ในอนุสรณ์สถานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกแห่งนี้ เก็บงำความลับอะไรไว้อยู่หรือไม่

ผู้พิพากษาศาลสูงในอินเดีย ไม่คิดเช่นนั้น โดยเมื่อวันพฤหัสบดี (12 พ.ค.) ศาลได้ยกคำร้องที่ยื่นโดยสมาชิกพรรคภราติยะ ชนะตะ (Bharatiya Janata Party--BJP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของอินเดีย ที่เรียกร้องให้เปิดประตู "ห้องที่ถูกล็อกไว้ถาวร" มากกว่า 20 ห้องในทัชมาฮาล เพื่อตรวจสอบ "ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของอนุสรณ์สถานแห่งนี้"

รัชนีศ ซิงห์ กล่าวต่อศาลว่า เขาต้องการตรวจสอบว่า "ข้อกล่าวอ้างของบรรดานักประวัติศาสตร์และผู้ศรัทธา" ที่ว่า ห้องเหล่านั้นเป็นที่ประดิษฐานของศาลบูชาพระศิวะ เทพเจ้าของศาสนาฮินดู

ทัชมาฮาล เป็นสุสานในสมัยศตวรรษที่ 17 ที่ตั้งอยู่ติดกับริมแม่น้ำในเมืองอัครา ซึ่งสร้างขึ้นโดยสมเด็จพระจักรพรรดิ์ชาห์ จาฮาน แห่งราชวงศ์โมกุล เพื่อรำลึกถึงสมเด็จพระราชินีมุมตัซ พระชายาของพระองค์ซึ่งเสด็จสวรรคต ขณะทรงมีพระประสูติกาลองค์ทายาทองค์ที่ 14 ของทั้งสองพระองค์ อนุสรณ์สถานที่น่าอัศจรรย์แห่งนี้สร้างจากอิฐ หินทรายสีแดง และหินอ่อนสีขาว และมีชื่อเสียงจากสถาปัตยกรรมที่ซับซ้อน เป็นหนึ่งในสถานที่ที่นักท่องเที่ยวเดินทางไปเยือนมากที่สุดของอินเดีย

แต่นายซิงห์ไม่เชื่อในประวัติศาสตร์อันเป็นที่ยอมรับ "เราทุกคนควรรู้ว่า อะไรอยู่ภายในห้องเหล่านี้" เขาเรียกร้องต่อศาล

ห้องที่ถูกล็อกไว้หลายห้องที่นายซิงห์กล่าวถึงนั้น ตั้งอยู่ในบริเวณห้องใต้ดินของสุสานแห่งนี้ และจากคำบอกเล่าอย่างเป็นทางการส่วนใหญ่ระบุว่า ไม่มีอะไรมากนักในห้องเหล่านั้น

สมเด็จพระจักรพรรดิ์ชาห์ จาฮาน (ขวา) ทรงสร้างทัชมาฮาลขึ้นเพื่อรำลึกถึงสมเด็จพระราชินีมุมตัซ มาฮาล พระชายาของพระองค์ (ซ้าย)

เอบบา ค็อก ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านสถาปัตยกรรมราชวงศ์โมกุลและผู้เขียนการศึกษาที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับทัชมาฮาล เคยเข้าไปข้างในและถ่ายรูปห้องต่าง ๆ และทางเดินในอนุสรณ์สถานแห่งนี้ในช่วงที่เธอทำงานวิจัย

ห้องเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของห้องใต้ดินสำหรับใช้ในช่วงฤดูร้อนที่ยาวนานหลายเดือน โดยทางเดินใต้ดินฝั่งระเบียงที่ติดกับแม่น้ำของทัชมาฮาลประกอบด้วย "ห้องติดกันจำนวนมาก" นางค็อก พบว่า มี 15 ห้องที่ตั้งอยู่ในแถวเดียวกัน ตามแนวของแม่น้ำ และมีทางเดินแคบ ๆ ไปยังแต่ละห้อง

มีห้องที่ขนาดใหญ่ 7 ห้องต่อออกไปในแต่ละด้าน มีห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัส 6 ห้อง และห้อง 8 เหลี่ยม 2 ห้อง ห้องที่มีขนาดใหญ่จะหันหน้าไปทางแม่น้ำโดยมีซุ้มประตูโค้งที่สวยงาม เธอสังเกตเห็นว่า ห้องต่าง ๆ เหล่านี้ "ปรากฏร่องรอยของการทาสีตกแต่งภายใต้สีขาวที่ทาทับไว้" และ "พบลวดลายเป็นตาข่ายที่เชื่อมต่อกันระหว่างดวงดาวหลายดวงที่ล้อมรอบเป็นวงกลมกับเหรียญขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง

"มันคงเป็นพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกที่สวยงามสำหรับสมเด็จพระจักรพรรดิ์ พระชายาและข้าราชบริพารที่ตามเสด็จเยือนสุสานแห่งนี้ เพื่อทำให้รู้สึกเย็นสบาย แต่ตอนนี้มันไม่มีแสงจากธรรมชาติแล้ว" นางค็อก ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ด้านศิลปะเอเชียที่มหาวิทยาลัยเวียนนากล่าว

ทางเดินใต้ดินเหล่านี้มักพบในสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์โมกุล โดยที่ป้อมปราการสมัยราชวงศ์โมกุลในเมืองลาฮอร์ของปากีสถาน มีห้องประตูโค้งแบบนี้หลายห้องที่หันหน้าไปทางแม่น้ำ

ภาพทัชมาฮาล Felice Beato (ชาวอังกฤษ เกิดในอิตาลี มีชีวิตระหว่างปี 1832 - 1909), Henry Hering (ชาวอังกฤษ, 1814 - 1893); อินเดียวช่วงประมาณ เม.ย. 1859

สมเด็จพระจักรพรรดิ์ชาห์ จาฮาน ทรงโปรดที่จะเสด็จพระราชดำเนินทางพระชลมาร์ค (ทางเรือ) ในแม่น้ำยมุนามายังทัชมาฮาล

สมเด็จพระจักรพรรดิ์ชาห์ จาฮาน ทรงโปรดที่จะเสด็จพระราชดำเนินทางพระชลมาร์ค (ทางเรือ) ในแม่น้ำยมุนามายังทัชมาฮาล โดยจะเสด็จขึ้นบันไดที่กว้างและสูงเพื่อเข้าไปที่สุสาน "ฉันจำทางเดินที่มีการทาสีไว้อย่างสวยงามตอนที่ไปเยือนที่นี่ได้ ฉันจำได้ว่า ทางเดินที่นำไปสู่พื้นที่กว้างแห่งหนึ่ง ค่อนข้างชัดเจนว่า นั่นคือทางสำหรับเสด็จพระราชดำเนินของสมเด็จพระจักรพรรดิ์" อมิตา เบย์ก นักอนุรักษ์ชาวอินเดียที่ได้เดินทางเยือนที่นี่เมื่อ 20 ปีก่อน เล่า

รานา ซาฟวี นักประวัติศาสตร์ที่อยู่ในกรุงนิวเดลีซึ่งเติบโตมาในเมืองอัครา จำได้ว่า ห้องใต้ดินเหล่านี้เคยเปิดให้คนเข้าชมจนกระทั่งเกิดน้ำท่วมในปี 1978 "น้ำเข้ามาในอนุสรณ์สถาน ห้องใต้ดินบางส่วนเต็มไปด้วยโคลน และมีรอยร้าว เจ้าหน้าที่ทางการปิดห้องเหล่านี้ไม่ให้คนทั่วไปเข้าชมหลังจากนั้น ในนั้นไม่มีอะไรอยู่" เธอกล่าว โดยมีการเปิดห้องเหล่านี้เป็นระยะเพื่อการบูรณะปฏิสังขรณ์

ตำนานเกี่ยวกับทัชมาฮาล

ตำนานหรือเรื่องที่เล่าขานต่าง ๆ เกี่ยวกับทัชมาฮาลรวมถึงแผนการของสมเด็จพระจักรพรรดิ์ชาห์ จาฮาน ในการสร้าง "ทัชมาฮาลสีดำ" ตรงข้ามกับอนุสรณ์สถานที่ตั้งอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ก็มีเรื่องที่เล่าว่า ทัชมาฮาลสร้างขึ้นโดยสถาปนิกชาวยุโรป นักวิชาการจากชาติตะวันตกบางส่วนเคยระบุว่า ไม่สามารถสร้างทัชมาฮาลเพื่ออุทิศแด่สตรีได้ เมื่อพิจารณาถึงตำแหน่งของผู้หญิงที่ต่ำต้อยในสังคมมุสลิม ซึ่งมักจะไม่มีการสร้างสุสานให้แก่ผู้หญิงในโลกอาหรับ เมื่อมีนักท่องเที่ยวมาเยือนที่นี่ มัคคุเทศก์มักจะเล่าเรื่องสนุกต่าง ๆ ให้ผู้มาเยี่ยมชมฟังเกี่ยวกับวิธีการที่สมเด็จพระจักรพรรดิ์ชาห์ จาฮาน ทรงสังหารสถาปิกและคนงาน หลังจากที่การก่อสร้างแล้วเสร็จ

ในอินเดีย มีเรื่องเล่าขานที่สืบต่อกันมานานว่า ทัชมาฮาล แต่เดิมคือวัดฮินดูที่อุทิศต่อพระศิวะ หลังจากที่สุราช มาล กษัตริย์ที่นับถือศาสนาฮินดูทรงยึดเมืองอัคราได้ในปี 1791 นักบวชประจำราชสำนักได้แนะนำให้เปลี่ยนทัชมาฮาลเป็นวัด พีเอ็น โอ๊ก ซึ่งก่อตั้งสถาบันเพื่อการเขียนประวัติศาสตร์อินเดียใหม่ในปี 1964 ระบุในหนังสือว่า จริง ๆ แล้ว ทัชมาฮาลเป็นวัดของพระศิวะ

มีตำนานหรือเรื่องที่เล่าขานต่าง ๆ เกี่ยวกับทัชมาฮาล

ในปี 2017 สังคีต โซม ผู้นำพรรคบีเจพี เรียกทัชมาฮาลว่า "รอยแปดเปื้อน" ของวัฒนธรรมอินเดีย เพราะที่นี่ "สร้างขึ้นโดยคนทรยศ" สัปดาห์นี้ ดิยา กุมารี สมาชิกรัฐสภาของพรรคบีเจพี กล่าวว่า สมเด็จพระจักรพรรดิ์ชาห์ จาฮาน "ทรงยึดที่ดิน" ของสมาชิกราชวงศ์ที่นับถือศาสนาฮินดูและสร้างอนุสรณ์สถานแห่งนี้ขึ้น

นางซาฟวี กล่าว่า ในกลุ่มฝ่ายขวาได้มีการพูดถึงทฤษฎีต่าง ๆ เหล่านี้อีกครั้งในช่วงประมาณสิบปีที่ผ่าน "กลุ่มฝ่ายขวาบางส่วนได้ใช้ข่าวปลอม ประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นความจริง และความรู้สึกสูญเสียและการตกเป็นเหยื่อของฝ่ายฮินดู" เธอกล่าว หรืออย่างที่นางค็อก ตั้งข้อสังเกตว่า "มันดูเหมือนว่า มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับทัชมาฮาลมากกว่างานวิจัยทางวิชาการที่จริงจังเสียอีก"

รายการบล็อกของฉัน