Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

หลักฐาน Ufo เกี่ยวกับการมีตัวตนของมนุษย์ต่างดาว


โลกของเราใบนี้มีจะมีวิธีการพิสูจน์ความจริงทางวิทยาศาสตร์มากมายหลายแบบ แต่บางคำถามก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าแท้จริงแล้วคำตอบเป็นอย่างไร หนึ่งในคำถามยอดฮิตเลยก็คือ เราเป็นคนกลุ่มเดียวบนจักรวาลนี้หรือเปล่า พูดง่ายๆว่า UFO มีจริงหรือไม่

หลายคนที่เชื่อว่ามีพวกเค้าต่างก็หาหลักฐานมาสนับสนุนความคิดอย่างเต็มที่ หลักฐานเรื่องราวที่ว่ามามีเรื่องอะไรน่าสนใจบ้าง เราจะย้อนกลับไปดูกัน การค้นพบมนุษย์ต่างดาวของทหารนิวซีแลนด์

ย้อนกลับไปช่วงประมาณปี 1954 ได้มีเอกสารค้นพบว่าโลกของเราเคยมีมนุษย์ต่างดาวมาเยี่ยมเยียนหลายครั้ง เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อกองทัพทหารของประเทศนิวซีแลนด์ได้ทำการสำรวจและค้นพบว่าได้เจอมนุษย์ต่างดาวขึ้นมา นอกจากการเจอยังมีการวาดภาพสเก็ตช์เอาไว้เป็นหลักฐานการเจอมนุษย์ต่างดาวอีกด้วย

หลักฐานน่าสนใจตรงที่ว่ามนุษย์ต่างดาวที่มาเยี่ยมโลกของเรานั้นสวมหน้ากากฟาโรห์ วัฒนธรรมของชาวอียิปต์อีกด้วย(น่าแปลกใช่ไหมล่ะ) การพบวัตถุที่เร็วกว่าที่คาด

อีกหนึ่งการค้นพบสิ่งที่คาดว่าจะเป็น UFO นั่นก็คือการค้นพบจานบิน หรือ วัตถุความเร็วแสงจนถึงเร็วกว่านั้นจากเหตุบังเอิญต่างๆนานาที่เกิดขึ้น อย่างแรกเลยมีการค้นพบว่าในท้องฟ้าเหนือท้องทุ่งไซบีเรีย มีการจับสัญญาณเสียงของวัตถุลึกลับคล้าวกับเสียงผู้หญิง แต่ภาษาที่ส่งออกมาเป็นภาษาที่ไม่สามารถแปลด้วยภาษาใดๆบนโลกใบนี้ได้เลย ไม่เพียงแค่ยังค้นพบวัตถุที่มีความเร็วมากกว่าจนไม่สามารถจับภาพได้ทัน คาดกันไว้ว่าน่าจะเร็วประมาณ 6,000 ไมล์ต่อชั่วโมง

อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่คล้ายกันแต่คราวนี้ปรากฏขึ้นในประเทศไทยบ้านเรา นั่นก็คือ ได้มีคนบันทึกเหตุการณ์วัตถุประหลาดบนท้องฟ้าเอาไว้ได้ เรื่องราวเกิดขึ้นจากพนักงานปิโตเลียมคนหนึ่งได้ไปเที่ยวที่ วัดถ้ำพระภูวัว อำเภอเซกา จังหวัดหนองคาย

ทีนี้ระหว่างที่บันทึกภาพความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่โดยรอบนั้น กลับได้พบวัตถุประหลาดบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งพอไปลองทดสอบกับการถ่ายภาพเครื่องบินหรือ เฮลิคอปเตอร์ ก็ยังช้าเกินไป จนเป็นที่สงสัยว่ามันคืออะไรมาจนถึงทุกวันนี้ ศพประหลาด

อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่คาดกันว่า นี่คือเอเลี่ยนที่มาจากนอกโลก นั่นก็คือ เหตุการณ์พบศพสิ่งมีชีวิตประหลาดที่เจอทางตอนใต้ของประเทศรัสเซีย ศพดังกล่าวดูไม่เหมือนมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตไหนเลยของโลกใบนี้ รูปร่างของศพอยู่ในสภาพขาข้างขวาขาด ร่างกายผอมแห้ง รูโหว่บนปากและจมูกที่กองหิมะ ซึ่งทางการก็นำไปพิสูจน์ซากดังกล่าวว่ามันคืออะไร จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบว่านี่คือมนุษย์ที่ผิดเพี้ยนไป สิ่งมีชีวิตอื่น หรือ ตัวอะไรกันแน่

ลูกไฟเหนือนครศักดิ์สิทธิ์ เหตุการณ์ต่อไปที่เชื่อว่ามันคือความสามารถของมนุษย์ต่างดาว นั่นก็คือ เหตุการณ์ลูกไฟเหนือนครศักดิ์สิทธิ์ นครเยลูซาเล็ม ได้มีคนบันทึกเหตุการณ์ที่ประหลาดและไม่น่าเชื่อเอาไว้ว่า กล่าวคือ ได้มีแหล่งพลังงานก้อนหนึ่งคล้ายกับลูกบอลไฟ ปรากฏขึ้นเหนือแท่นบูชาของศาสนาสถานแห่งนี้ ไม่เพียงเท่านั้นลูกไฟดังกล่าวยังมีการเคลื่อนไหวเป็นจังหวะคล้ายกับสิ่งมีชีวิตมากกว่าการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติ หลังจากเคลื่อนไหวได้สักพัก ก็บินหายไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

พวกเค้าเชื่อกันว่าลูกไฟนี้คือมนุษย์ต่างดาวที่มาสักการะนครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ อย่างไรก็ตามอีกหนึ่งประเด็นที่หลายคนเอามาตีความกันอย่างต่อเนื่องก็คือ ในแวดวงการทหารได้มีการปกปิดความลับเกี่ยวกับซากเครื่องบินที่ทันสมัยกว่าของโลกมนุษย์มานานแล้ว

จากนั้นได้มีการเอาชิ้นส่วนเศษซากเหล่านั้นมาพัฒนาต่อเนื่องจนกลายเป็นอุตหสาหกรรมเครื่องบินรบสมรรถนะสูงที่หลายประเทศกำลังทำอยู่ ก็ต้องมาดูกันว่าในอีก 10-100 ปีข้างหน้า เราจะได้เห็นเอเลี่ยนจริงหรือไม่

วันพุธที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2566

แปลกแต่จริง..สาวขายลมตดใส่โหลป่วยเข้า รพ. จึงเปลี่ยนมาขาย ตด.JPG แทน


สาวขายลมตดใส่โหลป่วยเข้า รพ. จึงเปลี่ยนมาขาย ตด.JPG แทน

ดูข่าวนี้แล้วมันทำให้รู้สึกว่าเธอคนนี้เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส 

เพราะเธอเป็นโรค ตดออกมาบ่อย หรือ ผายลมมากเกินไปนั่นเอง  ก็เลยมีความคิดพิสดาร นำเอาลมตดนั้นใส่ขวดแก้ว ขายเสียเลยมันเป็นธุรกิจที่ไม่มีใครเลียนแบบเลยนะครับขายสดใส่ขวดจนรวย แต่มันก็แปลกนะครับมีคนซื้อตดลมจะผายลมตดของเธอมากมาย..

ไม่ทราบว่าถ้าคนอื่นๆจะขายลมตดตัวเองบ้างแล้วก็จะมีคนซื้อหรือเปล่านะครับฮ่าๆๆ

แต่ไม่รู้ว่าเธอคนนี้ขายตดตัวเองหรือพายลมของตัวเอง ลมตดมีรสชาติหรือมีกลิ่นอะไรบ้างก็ยังไม่รู้นะครับ...แต่ไม่รู้ว่าคนที่ซื้อลมตด เธอ ไปจะเปิดขวด เลยหรือว่าดมกลิ่นตดเธอ เลยหรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับในข่าวก็ไม่ได้บอกเอาไว้ซะด้วย

กลายเป็นข่าวดังไปเมื่อปลายปีที่แล้ว หลังจากที่หญิงสาวรายหนึ่งขายตดของตัวเองในโหลแก้ว และทำเงินได้มากมายมหาศาล




สเตฟานี แมตโต อดีตดาราสาวจากรายการเรียลลิตี 90 Day Fiancé กำลังมีชีวิตที่รุ่งโรจน์หลังจากที่เธอตัดสินใจขาย ‘ลมตดในขวดโหล’ จนเธอสามารถสร้างรายได้ให้กับตัวเองได้ถึง 200,000 เหรียญ หรือประมาณ 6.6 ล้านบาท


แต่ไม่มีธุรกิจใดที่ไม่มีอุปสรรค เพราะในในที่สุดเธอก็ต้องเข้าโรงพยาบาลหลังจากที่เกิดอาการเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง และเธอคิดว่าตัวเองกำลังหัวใจวาย

“ฉันคิดว่าฉันเป็นโรคหลอดเลือดสมอง และนั่นเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของฉัน เพราะฉันทุ่มเทกับมันมากไป”

หญิงสาววัย 31 ปีได้รับการตรวจร่างกายอย่างละเอียดและสรุปว่ามันกลายเป็นเพราะอาหารที่เธอรับประทานมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็น ถั่ว ไข่ ซุปถั่วดำ โปรตีนเชก ทั้งหมดนี้ก็เพื่อช่วยให้เธอผายลมได้มากขึ้น


จนถึงจุดหนึ่ง สเตฟานีรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง มีแรงกดในท้องของเธอที่เลื่อนขึ้นมาทางด้านบน และนั่นทำให้แพทย์แนะนำให้เธอเปลี่ยนอาหารที่รับประทานโดยสิ้นเชิง รวมถึงการทานยาระงับแก๊สและยุติการทำธุรกิจนี้อีกด้วย

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่สามารถนำตดของเธอมาใส่โหลขายได้อีก แต่ปัญหาสุขภาพไม่ทำให้เธอล้มเลิกความตั้งใจ เนื่องจากเธอตัดสินใจที่จะขายตดของเธอเป็น NFT บนโลกออนไลน์แทน


NFT หรือ Non-Fungible Token ก็คือทรัพย์สินหรือเหรียญดิจิทัลที่มีลักษณะเฉพาะตัว ไม่มีซ้ำกัน มันอาจเป็นงานศิลปะที่มีเพียงชิ้นเดียว หรือจะเป็นอะไรก็ได้ที่คุณอยากหยิบมาขายบนโลกออนไลน์

สเตฟานีตัดสินใจเปิดเว็บไซต์ของเธอและขาย ‘ตดใส่โหลดิจิทัล’ เป็นจำนวน 5,000 ขวดในรูปแบบไฟล์ JPEG โดยสนนราคาอยู่ที่ 0.05 Ethereum ซึ่งเทียบเท่ากับเงินประมาณ 5,100 บาท ณ อัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน


ที่น่าเหลือเชื่อก็คือ ตั้งแต่เธอเปิดตัวมาเพียงไม่กี่วันก็สามารถขายตดดิจิทัลของเธอได้มากกว่า 1,000 ชิ้นไปแล้ว ซึ่งถ้าหากเธอขายได้หมดก็จะสามารถทำเงินได้สูงถึง 25.5 ล้านบาทเลยทีเดียว

“ฉันคิดว่าบางทีการทำให้ตดเป็นดิจิทัลและใส่มันลงไปในเมตาเวิร์ส จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ทำให้ธุรกิจนี้ดำเนินต่อไป” สเตฟานีกล่าว

“ฉันอยากจะยกตัวอย่างให้ผู้หญิงในชุมชน NFT เห็นว่า พวกเธอก็มีพื้นที่เกิดได้เหมือนกัน”

“ตดในแต่ละโหลไม่ได้เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ตดของฉันเท่านั้น แต่พวกมันยังสามารถทำเงินให้กับคุณได้อีกด้วย”

ลมตดของเธอน่าจะมีกลิ่นหอมชวนดมมากเลยนะครับ ไม่น่าถึงขายดิบขายดีอย่างกะเทน้ำเทท่า

เมืองลอยน้ำแห่งแรกของโลกเตรียมสร้างที่เกาหลีใต้ และจะเสร็จสิ้นในปี 2025



เมืองลอยน้ำแห่งแรกของโลกเตรียมสร้างที่เกาหลีใต้ และจะเสร็จสิ้นในปี 2025

เนื่องจากสถานการณ์น้ำทะเลเพิ่มขึ้นพื้นที่อาศัยสำหรับมนุษย์ก็จะลดลง

ก็เลยจะต้องหาทางสร้างเมืองที่อยู่ในน้ำลอยน้ำลอยฟ้ากันไปตามเรื่องตามราวนะครับ  บ้างก็ย้ายเมืองหลวงไปอยู่บนที่สูงหนีน้ำ

ก็ตามแต่ใครอยากจะทำก็ทำไปเถอะถ้ามีเงิน 

แต่สำหรับเมืองลอยน้ำนี้ผมว่ามันเป็นความคิดที่ดีมากๆเลยนะครับ

โดยเฉพาะประเทศไทยควรจะเริ่มมีโครงการสร้างเมืองลอยน้ำได้แล้วต่อไปในอนาคตกรุงเทพฯเมืองรอบๆต้องจมทะเลแน่นอน

รัฐบาลรีบลงมือสร้างเสียแต่บัดนี้ในอนาคตประชาชนหนีน้ำทะเลท่วมจะได้ไปอาศัยอยู่บนเมืองลอยน้ำลอยไปลอยมา


ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สถาปนิกและวิศวกรจำนวนมากได้พูดคุยถกเถียงกันถึงการสร้างเมืองลอยน้ำแห่งแรกขึ้น แต่ปรากฎว่าการนำแนวคิดในจินตนาการมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงถือเป็นเรื่องยาก โดยรัฐบาลท้องถิ่นแต่ละที่เองก็ไม่เต็มใจที่จะลงทุนไปกับไอเดียที่ทะเยอทะยานนี้

แต่ในที่สุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เมืองปูซานของเกาหลีใต้ได้ตัดสินใจทำให้โครงการนี้เกิดขึ้นจริง โดยได้ร่วมมือกับผู้ออกแบบโครงการอย่าง OCEANIX และโครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ (UN-Habitat)


จากรายงานระบุว่า เมืองลอยน้ำแห่งนี้จะครอบคลุมพื้นที่กว่า 469 ไร่ รองรับผู้อยู่อาศัยได้ประมาณ 10,000 คน โดยประกอบด้วยเกาะรูปทรงหกเหลี่ยมจำนวนมาก โดยแต่ละเกาะจะกินพื้นที่ราว 12.5 ไร่ และมีชุมชนอาศัยอยู่ราว 300 คน


เกาะเล็ก ๆ ดังกล่าวจะถูกจัดให้อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 6 เกาะ รอบ ๆ ท่าเรือกลาง ซึ่งจะเกิดเป็นหมู่บ้านที่มีประชากรมากถึง 1,650 คน

เมืองลอยน้ำจะได้รับการออกแบบให้เติบโต เปลี่ยนแปลง และปรับตัวได้ตามกาลเวลา โดยเริ่มพัฒนาจากย่านชุมชนสู่หมู่บ้าน และขยับขยายไปยังเมือง ซึ่งการออกแบบและแผนการขยับขยายของเมืองลอยน้ำยังไม่ถูกเปิดเผยเป็นที่แน่ชัด


Itai Madamombe ผู้ร่วมก่อตั้ง OCEANIX กล่าวกับสำนักข่าว Insider ว่า “มันเพิ่งเกิดขึ้นที่ปูซานเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับเราในการสร้างผลงานต้นแบบนี้”


“แต่นี่คือบางสิ่งที่เราหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเมืองชายฝั่งทั้งหมดทั่วโลก เนื่องจากชุมชนชายฝั่งทั้งหมดกำลังเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล”


เนื่องจากมันเป็นเมืองลอยน้ำ ดังนั้นมันจะลอยสูงขึ้นไปพร้อม ๆ กับระดับน้ำทะเล ซึ่งสามารถป้องกันน้ำท่วมได้ ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถผลิตพลังงาน น้ำจืด และอาหารได้ด้วยระบบภายในเมืองเองทั้งหมด โดยมีกรงใต้เกาะที่ใช้เป็นที่เพาะเลี้ยงสัตว์ทะเลได้


ตอนนี้ OCEANIX กำลังทำงานร่วมกับนักออกแบบท้องถิ่นเพื่อปรับแต่งเมืองลอยน้ำให้เข้ากับสภาพแวดล้อมท้องถิ่น โดยจะมีการนำเสนอผลลัพธ์ต่อทาง UN ในเดือนเมษายนปีหน้า

สำหรับงบประมาณสำหรับการก่อสร้างเมืองลอยน้ำคาดว่าอยู่ที่ประมาณ 200 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 6,600 ล้านบาท


Madamombe กล่าวว่า “เวลาการก่อสร้างทั้งหมดประมาณ 3 ปี ดังนั้นคาดว่าภายในปี 2025 เราจะได้เห็นเมืองต้นแบบนี้ในน้ำ”

นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น โดยขณะนี้ OCEANIX เองก็กำลังเจรจากับรัฐบาลอื่น ๆ อีก 10 แห่งเกี่ยวกับการสร้างเมืองลอยน้ำ ซึ่งบริษัทของเขาสามารถเสนอแนวทางการใช้ชีวิตในอุดมคติได้ โดยเฉพาะบริเวณเมืองริมชายฝั่งที่ได้รับผลกระทบจากน้ำทะเลที่สูงขึ้น


นอกจากนั้น OCEANIX ยังบอกในเว็บไซต์ของพวกเขาว่า “เมืองลอยน้ำสามารถสร้างสำเร็จรูปได้บนฝั่งและค่อยลากไปยังจุดสุดท้ายที่ต้องการได้ ซึ่งช่วยลดต้นทุนก่อสร้างเป็นอย่างมาก”

และเมื่อรวมกับต้นทุนค่าเช่าพื้นที่ในมหาสมุทรที่ไม่ได้สูงมาก จะทำให้ราคาบ้านบนเกาะลอยน้ำมีราคาที่จับต้องได้นั่นเอง

วันอังคารที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2566

ปล่อยใจให้ว่างกับ7กฎการใช้อารมณ์ในเวลางานและความเครียด



ความเครียด เป็นสภาวะจิตใจและร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นผลจากการที่บุคคลต้องปรับตัวต่อสิ่งกระตุ้นหรือสิ่งเร้าต่างๆ ในสิ่งแวดล้อมที่กดดันหรือคุกคามให้เกิด ความทุกข์ ความไม่สบายใจ
ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และความเครียด     


ปัจจัยเกี่ยวกับสุขภาพและการเจ็บป่วย ทั้งรุนแรงและไม่รุนแรงทำให้เกิดความเครียดได้
บุคลิกภาพ ผู้ที่มีบุคลิกภาพที่ชอบแข่งขัน เร่งรีบ ต้องการเอาชนะไม่อดทน จะมีความเครียดมาก
      ครอบครัว ความขัดแย้งในครอบครัว ปัญหาเรื่องลูก ความยุ่งยาก เรื่องเพศ ฯลฯ
      การงาน ขึ้นอยู่กับลักษณะงาน ภาระงาน ความสัมพันธ์กับผู้ร่วมงานระดับต่างๆ ค่าตอบแทน ฯลฯ
      สิ่งแวดล้อม อากาศ แสง เสียง ฝุ่น ความร้อน ฯลฯ


ผลกระทบของอารมณ์และความเครียด
      1. ผลกระทบต่อตนเอง
            - ทางกาย อาทิ ปวดศีรษะ ปวดศีรษะข้างเดียว หัวใจเต้นแรงและเร็ว มือเท้าเย็น ท้องอืด คลื่นไส้หรือปั่นป่วนในท้อง ความดันโลหิตสูง หอบหืด โรคหัวใจ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ
            - ทางอารมณ์ อาทิ หงุดหงิด โกรธง่าย วิตกกังวล ซึมเศร้า ฯลฯ
            - ทางด้านความคิด อาทิ หดหู่ ไม่มีสมาธิ ตัดสินใจลำบาก หลงลืมง่าย มีความคิดทางลบมากกว่าทางบวก เห็นตัวเองไม่มีคุณค่า สิ้นหวัง ฯลฯ
            - ทางพฤติกรรม อาทิ ดื่มจัดมากเกินไป สูบบุหรี่จัด ไม่เจริญอาหาร ก้าวร้าว นอนไม่เต็มที่ ฯลฯ
      2. ผลกระทบของความเครียดต่อครอบครัว
      ครอบครัวขาดการสื่อสารที่ดีซึ่งกันและกันไม่ยอมรับและไม่มีความเข้าใจกันเกิดความขัดแย้งทะเลาะวิวาท เกิดการหย่าร้าง หรือแยกกันอยู่ระหว่างสามีภรรยา ลูกไม่ได้รับความรักความอบอุ่นและความเอาใจใส่จากพ่อแม่


7 กฎของการใช้อารมณ์ในเวลางาน
บทความนี้ให้แง่คิดด้านการทำงานได้ดีมาก
เป็นเรื่องของเกร็ดที่น่าสนใจในการใช้อารมณ์ในเวลางานมาฝากกัน เผื่อใครสนใจจะได้ลองเอาไปใช้ดูนะคะ เพราะอารมณ์เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่ส่งผลต่อการทำงาน

1. คุณคือโลโก้ บริษัท อย่าวู่วามกฎข้อแรกที่เรากำลังจะพูดถึง คือ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร คุณต้องระงับอารมณ์ โดยเฉพาะอารมณ์โกรธของคุณให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อถูกท้าทายระหว่างการทำงานนอกสำนักงานของคุณเอง



2.ความขัดแย้งทำลายบรรยากาศการทำงาน และไม่ทำให้คุณมีความสุข
แม้จะไม่ลงรอยกันหรือเกลียดหน้ากันมากแค่ไหน การมีช่องว่างระหว่างกัน ทำตัวออกห่าง โดยเลือกที่จะไม่อยู่ใกล้ คือ หนทางเดียวที่จะทำให้คุณทำงานร่วมกับคู่อริได้อย่างมีความสุขที่สุด โดยที่ไม่ถูกจับจ้องหรือเพ่งเล็ง

3.การประเมินอารมณ์เป็นเรื่องที่ทำได้ เมื่อเหตุการณ์จบลง และแน่ใจว่าได้แก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดหรือสิ่งที่คนอื่นเข้าใจผิดกับตัวคุณให้ผ่านพ้นไปแล้ว คุณน่าจะประเมินเหตุการณ์เหล่านั้นอย่างถี่ถ้วนที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อหาคำตอบให้กับตัวเองว่า สาเหตุของความโกรธหรือความอ่อนไหวของคุณคืออะไร (คน ระบบ หรือสถานการณ์) นอกเหนือไปจากนั้น คุณจะต้องรู้ว่าคุณมีดีกรีหรือระดับความโกรธมากแค่ไหน

4.สร้างเงื่อนไขให้กับตัวเองเสียใหม่เมื่อทราบแล้วว่าคุณ "Sensitive" หรือโกรธได้ง่ายๆ กับเรื่องหนึ่งเรื่องใด สิ่งที่ทำได้ คือ ใช้บทเรียนของคุณมาแก้ปัญหานั้นๆ เช่น ถ้าคุณต้องโมโหจนควันออกหูทุกครั้งกับคนคนเดิมที่ต้องประสานงาน ทางออกที่ดีคือพูดกันให้น้อยที่สุดแล้วใช้การติดต่อทางอีเมล์ช่วยในการประสานงาน หรือเมื่อถูกมองในแง่ลบ คุณจะต้องสงบสติอารมณ์แล้วแสดงทรรศนะด้วยความสุภาพ ชี้แจงว่าคุณไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิด แทนการใช้อารมณ์โดยปราศจากการเรียบเรียง


5.ผิดแล้วผิดอีกไม่ได้หลังจากที่โดนลงอาญาจากเพื่อนฝูงและเจ้านาย แม้ว่าจะเป็นฝ่ายถูกในเรื่องของเหตุผล คุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกได้ ดังนั้น สิ่งที่คุณควรทำคือการยับยั้งชั่งใจ และวางตัวเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีของทุกคนในโหมดที่เคยเป็น

6.หลบไปตั้งหลักหรือทำสมาธิในที่ที่ไม่มีใครเห็นบางครั้งการจัดการกับอารมณ์ก็หนักหนาสาหัสสุดๆ สำหรับใครบางคน อย่างไรก็ตาม การเดินหนีปัญหาชั่วคราวด้วยการออกไปหามุมสงบเพื่อนั่งสมาธิ หรือปล่อยใจให้ว่างก็เป็นทางออกที่เหมาะสมไม่ว่าจะเป็นห้องโล่งว่าง ร้านกาแฟ หรือขับรถออกไปกินลมสักพัก เมื่อสมองปลอดโปร่งแล้วเรื่องทุกอย่างก็คลี่คลาย

7. บอกกับทุกคนว่า "โอเค ยังไหว"โดยธรรมชาติของมนุษย์ อารมณ์ต่างๆ เป็นสิ่งที่มนุษย์ด้วยกันสามารถสัมผัสและเข้าใจได้ ไม่ว่าคุณจะพยายามปกปิดแค่ไหน ยกเว้นก็แต่ผู้ร้ายปากแข็งและนักแสดง ไม่ใช่เพียงแค่อารมณ์โกรธหลายครั้งที่เหนื่อยจากการทำงานหรือต้องเผชิญกับปัญหาส่วนตัว อารมณ์เหล่านี้จะถูกสะท้อนออกมาให้เห็นจากแววตาและสีหน้าของคุณโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ 

สิ่งที่คุณควรทำคือ บอกทุกคนว่ายังไหว เพื่อสร้างกำลังใจให้กับทุกคนในการทำงาน และไม่เปิดช่องว่างให้กับศัตรู ถ้าจะเปรียบก็คงจะไม่ต่างอะไรกับการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ที่คุณต้องนิ่งเข้าไว้ เพื่อไม่ให้คนในสงสัยว่ามีไพ่อะไรอยู่ในมือของคุณ

ที่มา http://jcareer.co.th/th/05/
เรียบเรียงข้อมูลโดยmanman

วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

ผลการศึกษาชี้ อาณานิคมมนุษย์ในอวกาศต้องเหมือนบนโลกจึงจะสำเร็จ

ผลการศึกษาชี้ อาณานิคมมนุษย์ในอวกาศต้องเหมือนบนโลกจึงจะสำเร็จ


นักวิจัยชาวอเมริกันให้ข้อชี้แนะในการศึกษาครั้งใหม่ว่า มนุษย์จำเป็นต้องทำให้อวกาศมีสภาวะที่เหมือนโลกให้มากที่สุด เพื่อให้คนเราสามารถอยู่รอดในอวกาศได้เป็นเวลานาน ๆ

การศึกษานี้เกิดขึ้นในขณะที่องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ นาซ่า เตรียมส่งนักบินอวกาศกลับสู่ดวงจันทร์ด้วยโครงการ อาร์ทิมิส (Artemis) โดยนาซ่าเพิ่งประกาศรายชื่อนักบินอวกาศชุดใหม่ที่จะเข้าร่วมในภารกิจทดสอบการบินรอบดวงจันทร์ และมีแผนในอนาคตที่จะส่งนักบินอวกาศไปยังดาวอังคารอีกด้วย

การศึกษาดังกล่าว ซึ่งจัดทำขึ้นโดยทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนล (Cornell) ในรัฐนิวยอร์ก และสถาบันนอร์ฟอล์ค (Norfolk) ในรัฐเวอร์จิเนีย ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Astronomy and Space Sciences เมื่อไม่นานมานี้ โดยมีเนื้อหาที่อธิบายถึงสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในระยะยาวในอวกาศหรือบนดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ


การศึกษานี้มุ่งเน้นไปที่ประเด็นต่าง ๆ เช่น วิธีรับมือกับแรงโน้มถ่วงและออกซิเจนในอวกาศ การเก็บกักน้ำ การพัฒนาการเกษตร และการกำจัดของเสียในอวกาศ

มอร์แกน ไอร์ออนส์ (Morgan Irons) หนึ่งในนักวิจัย ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยคอร์เนล ได้ร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ เพื่อสำรวจความจำเป็นทางกายภาพที่มีความสำคัญสำหรับมนุษย์ในระหว่างการเดินทางในอวกาศในอนาคต

เธอกล่าวในแถลงการณ์ว่า สิ่งมีชีวิตในอวกาศก็จำเป็นต้องมี "ระบบนิเวศตามธรรมชาติ" เพื่อเกื้อหนุนมนุษย์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เพราะ “หากไม่มีการจัดตั้งระบบเหล่านี้ ภารกิจก็จะล้มเหลว”

ผู้ร่วมเขียนงานวิจัยอีกคนคือ ลี ไอร์ออนส์ (Lee Irons) ซึ่งเป็นคุณพ่อของมอร์แกนและเป็นหัวหน้าสถาบันนอร์ฟอล์ค ที่พยายามหาหนทาง "การทำงานเพื่อส่งเสริมความสามารถในการปรับตัวและฟื้นตัว" ของมนุษย์ทั้งบนโลกและในอวกาศ

เขากล่าวว่า หนึ่งในปัญหาที่ใหญ่ที่สุดสำหรับมนุษย์ในอวกาศ คือ ปัญหาเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วง เพราะมนุษย์จะประสบภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำในอวกาศ ขณะที่ การลดลงของแรงโน้มถ่วงสามารถเปลี่ยนระดับความดันของของเหลวในตัวสิ่งมีชีวิตได้ ซึ่งอาจทำให้มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในอวกาศเกิดปัญหาสุขภาพ เช่น ปัญหาของการมองเห็น เพราะร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถรักษาระดับความดันของของเหลวให้เท่ากับที่ร่างกายเคยชินบนโลก

กลุ่มนักวิจัยในการศึกษานี้กล่าวว่า ในช่วงแรก พวกเขาต้องศึกษาความจำเป็นทางกายภาพในระยะยาวของมนุษย์ ทั้งบนโลกและในอวกาศ โดยมีการเสนอให้ผู้ที่รับผิดชอบด้านการวางแผนภารกิจในอวกาศคิดหาวิธี "สร้างเครือข่ายระบบนิเวศเชิงวิวัฒนาการ” ที่ทำให้โลกกลายมาเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ดังเช่นในปัจจุบัน


จีนเตรียมสร้างสถานีดาวเทียมที่ขั้วโลกใต้ สานฝันมหาอำนาจในอวกาศ
มอร์แกน ไอร์ออนส์ กล่าวว่า ถึงแม้จะมีการลงทุนเป็นเงินจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาอาณานิคมในอวกาศ โครงการดังกล่าวอาจเป็นการสูญเปล่า เพราะโอกาสของความสำเร็จนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีแรงโน้มถ่วงมาเกี่ยวข้องเสมอ

นอกจากนี้แล้ว นักวิจัยกล่าวว่า ออกซิเจนก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีความสำคัญ และว่า หน่วยงานด้านอวกาศจำเป็นต้องสร้างระบบออกซิเจนหลักและสำรองโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อรองรับการที่มนุษย์ใช้ชีวิตในอวกาศเป็นเวลายาวนานด้วย

ในเรื่องนี้ มีข้อเสนอแนะประการหนึ่งจากการศึกษา ซึ่งก็คือ การส่งสิ่งมีชีวิตเพื่อผลิตออกซิเจนไปร่วมตั้งอาณานิคมในอวกาศ โดย ลี ไอร์ออนส์ อธิบายว่า วิธีดังกล่าวอาจเป็นการใช้พืชพันธุ์นับแสนชนิดที่สามารถสร้างออกซิเจนได้มาช่วยสนับสนุนภารกิจระยะยาวทั้งในอวกาศและบนดาวเคราะห์อื่น ๆ

การศึกษานี้ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ พลังงานจำนวนมหาศาลจากดวงอาทิตย์ เพราะในความเป็นจริงนั้น เมื่อนักบินอวกาศเดินทางไกลออกไปจากดวงอาทิตย์ พวกเขาจะรวบรวมพลังงานแสงอาทิตย์ได้น้อยลงไปเรื่อย ๆ นั่นเอง

ลี ไอร์ออนส์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การจัดตั้งอาณานิคมที่มีระบบนิเวศเอื้อต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ในอวกาศต้องใช้พลังงานเป็นจำนวนมาก “มิฉะนั้นแล้ว การจ่ายพลังงานให้กับระบบนิเวศของชุมชนอันห่างไกล (outpost) ในอวกาศ ก็จะมีสภาพเหมือนกับการใช้แบตเตอรีโทรศัพท์มือถือขับเคลื่อนรถยนต์นั่นเอง”

นาซ่าจำลอง 'บ้านบนดาวอังคาร' สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน (อยู่ได้ 4 คน)


นาซ่าจำลอง 'บ้านบนดาวอังคาร' สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน 
(อยู่ได้ 4 คน)

เมื่อไม่นานมานี้ องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ นาซ่า ได้เปิดแสดงสภาพแวดล้อมจำลองของดาวอังคาร ที่อาสาสมัคร 4 คนจะใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 1 ปี เพื่อช่วยในการเตรียมส่งมนุษย์ไปยังดาวดวงนี้

อาสาสมัครที่ไม่ใช่นักบินอวกาศจะเข้าสู่ที่พักที่จำลองสถาพแวดล้อมบนดาวอังคาร ซึ่งถูกสร้างขึ้นที่ศูนย์อวกาศจอห์นสันของนาซ่าในเมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัส ในเดือนมิถุนายนนี้

นาซ่าเผยว่า ในระหว่างการเข้าพัก อาสาสมัครจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย ซึ่งรวมถึงการสำรวจอวกาศจำลอง การทำงานกับหุ่นยนต์ การดูแลที่พัก การออกกำลังกาย และการปลูกพืช เป็นต้น


ที่พักอาศัยขนาด 160 ตารางเมตรนี้ได้รับการออกแบบมาโดยจำลองสภาพแวดล้อมต่าง ๆ สำหรับผู้ไปเยือนดาวอังคารในอนาคตที่อาจต้องเผชิญ อย่างเช่น การทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยทรัพยากรที่จำกัด มีการแยกตัวออกจากกัน และประสบกับภาวะที่อุปกรณ์ขัดข้อง

ทั้งนี้ สภาพแวดล้อมจำลองถูกสร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ โดยเครื่องพิมพ์ 3 มิติถูกนำมาใช้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพื่อสร้างโครงสร้างที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ๆ รวมถึงบ้านทั้งหลังด้วย

ที่อยู่อาศัยบนดาวอังคารนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการของนาซ่า ที่รู้จักกันในชื่อ Crew Health and Performance Exploration Analog (CHAPEA) ซึ่งคาดว่าจะมีการรวมสภาพแวดล้อมจำลองทั้งหมดสามแบบด้วยกัน

เกรซ ดักลาส (Grace Douglas) หัวหน้านักวิจัยของการทดลองของ CHAPEA บอกกับสำนักข่าวเอเอฟพีของฝรั่งเศสว่า นาซ่ามองว่าเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติเป็นวิธีที่เป็นไปได้ “ในการสร้างที่อยู่อาศัยบนพื้นผิวดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ หรือบนพื้นผิวดวงจันทร์”

ในตอนนี้ เจ้าหน้าที่ของนาซ่ายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจสู่ดาวอังคาร แต่ความพยายามส่วนใหญ่ในปัจจุบันของหน่วยงาน คือการสนับสนุนภารกิจอาร์ทิมิสที่กำลังจะมีขึ้น ซึ่งตั้งเป้าที่จะส่งมนุษย์กลับสู่ดวงจันทร์เป็นครั้งแรกในรอบครึ่งศตวรรษ

ในขณะที่อาสาสมัครพักอยู่ในสถานจำลองดาวอังคาร เจ้าหน้าที่ของนาซ่าจะติดตามสุขภาพร่างกายและจิตใจของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง

ดักลาสกล่าวว่า ด้วยข้อมูลดังกล่าวจะช่วยให้นาซ่ามีความพร้อมมากขึ้นในการศึกษาว่านักบินอวกาศสามารถเรียนรู้การใช้ทรัพยากรเท่าที่มีอยู่ได้อย่างไร ซึ่งนั่นจะเป็นข้อมูลที่สำคัญมากในการตัดสินใจเรื่องทรัพยากรที่สำคัญต่อการใช้ชีวิตบนดาวอังคาร


ทั้งนี้ ที่อยู่อาศัยดังกล่าวจะมีพื้นที่ "กลางแจ้ง" ที่จำลองพื้นผิวและสภาพแวดล้อมของดาวอังคาร โดยพื้นที่นี้จะยังคงอยู่ในสภาพแวดล้อมจำลอง

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการระบุชื่ออาสาสมัครที่จะเข้าร่วมในการทดลองครั้งแรกนี้ นาซ่ากล่าวว่ากระบวนการคัดเลือกบุคคลจะเป็นไปตามแนวทางเดียวกับที่ใช้ในการเลือกนักบินอวกาศ โดยสมาชิกในทีมจะต้องมีความรู้พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ และจะต้องเป็นพลเมืองอเมริกันหรือผู้อยู่อาศัยถาวรในสหรัฐฯ เท่านั้น


สำหรับบุคคลที่สนใจต้องมีอายุระหว่าง 30 ถึง 55 ปี มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี และไม่มีปัญหาเรื่องอาหารหรืออาการป่วยจากการเคลื่อนไหว อย่างเช่น เมารถ

คริส ฮัดฟิล (Chris Hadfield) อดีตนักบินอวกาศชาวแคนาดา กล่าวกับเอพีในปี 2021 ว่า เขาคิดว่าข้อกำหนดดังกล่าวแสดงให้เห็นว่านาซ่ากำลังมองหาผู้ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับการเป็นนักบินอวกาศ ซึ่งเขาคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะจะทำให้การทดลองมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และว่าความพยายามของรัสเซียในอดีตในการสร้างสภาพแวดล้อมจำลองบนดาวอังคารที่ใช้ชื่อว่า Mars 500 ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนัก ซึ่งเป็นเพราะเหล่าอาสาสมัครมีลักษณะเหมือนคนทั่วไปมากเกินไป

เขากล่าวติดตลกส่งท้ายว่า อาสาสมัครที่เขาร่วมการทดลองนี้จะมีเวลามากมายที่ดูภาพยนตร์จาก Netflix

วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

สุดยอด! หญิงสาวผู้เป็นโรคสังข์ทอง กับการก้าวขึ้นมาเป็นนางแบบระดับโลก


สุดยอด! หญิงสาวผู้เป็นโรคสังข์ทอง กับการก้าวขึ้นมาเป็นนางแบบระดับโลก

นี้ละที่เขาเรียกว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั้น

สุดยอด! หญิงสาวผู้เป็นโรคสังข์ทอง กับการก้าวขึ้นมาเป็นนางแบบระดับโลก

บางคนร่างกายครบสมบูรณ์แต่ยังสู้เธอคนนี้ไม่ได้ เยี่ยมมากๆครับ
 เมไลนี เกย์ดอส เธอมีความมั่นใจและมุ่งมั่นใจเกินร้อย


โรคสังข์ทอง หรือ Ectodermal Dysplasia ถูกตั้งชื่อตามรักร้องลูกทุ่งชื่อดัง สังข์ทอง สีใส จนทำให้คนอื่นๆ รู้จักโรคนี้ และถูกตั้งชื่อว่าโรคสังข์ทองตามชื่อของเขา ส่วนคนมีชื่อเสียงอื่นๆ ที่พวกเรารู้จักกันดีก็คือ สุเทพ สีใส และ เอ็ดดี้ ผีน่ารัก 2 ตลกชื่อดัง

 ส่วนอาการของโรคที่เห็นได้จากภายนอกก็คือ ใบหน้าจะมีลักษณะแตกต่างจากคนปกติ คือมีหน้าผากเหลี่ยมและโหนก ไม่มีดั้ง คางจะเชิดออกมา และผมจะบางมากถึงไม่มีผมเลย จมูกรั้นจมูกบี้

ในต่างประเทศเองก็มีคนที่มีชื่อเสียงและเป็นโรคนี้อยู่เช่นกัน อย่างเช่น เมไลนี เกย์ดอส นางแบบและนักแสดงชาวอเมริกัน วัย 27 ปี เธอเป็นชาวคอนเน็คติคัทโดยกำเนิด


ด้วยโรคนี้ ทำให้ใบหน้าของเธอดูแตกต่าง แต่มันไม่ได้ทำลายความฝันที่เธออยากมีอาชีพนางแบบให้ลดลงไป

เมลานีเผยว่า เธอมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการจัดการกับความเห็นในแง่ลบที่มีต่อตัวเธอ เมื่อเธอเริ่มเป็นนางแบบแรกๆ


ด้วยโรคของเธอ ทำให้เธอไม่มีผมและขนตา จนกระทั่งเธออายุ 26 เธอเริ่มใส่ฟันปลอม แต่ 8 เดือนหลังจากนั้น เธอตัดสินใจถอดมันออก เพราะมันไม่ใช่ไอเดียที่ดีนัก


“คนส่วนมากบอกว่ารู้สึกดีที่เห็นฉันมีฟันในปาก” เธอกล่าว “แต่ฉันไม่”


เมไลนี ประสบความสำเร็จในอาชีพนางแบบอย่างสูง เธอมีแฟนๆ ติดตามมากมาย รวมไปถึง ไมลี่ ไซรัส นักร้องชื่อดังระดับโลกอีกด้วย

หวังว่าเรื่องราวชีวิตของเธอ จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆ คน ได้สู้ไปตามความฝันที่ตัวเองต้องการ

ก่อนจบบทความนี้อยากให้คนที่กำลังท้อแท้ดูเรื่องราวของเมไลนี เกย์ดอส เป็นตัวอย่าง มีกำลังใจที่เอาชนะปัญหาได้แน่

วันอังคารที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2566

ผู้ชายมีขนรักแร้ตอนไหน ไขข้อสงสัย พร้อมรู้จักประโยชน์ของขนรักแร้

ผู้ชายมีขนรักแร้ตอนไหน ไขข้อสงสัย พร้อมรู้จักประโยชน์ของขนรักแร้

วันนี้มีสาระความรู้เกี่ยวกับขนรักแร้ประโยชน์ของขนรักแร้และทำไมจึงต้องมีคนรักแร้

😬ร่างกายของคนเราเมื่อก้าวสู่วัยเจริญพันธุ์ก็ย่อมต้องมีพัฒนาการทางร่างกายที่ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะขนตามร่างกายส่วนต่าง ๆ เช่น ขนขา หนวด ขนแขน ขนหน้าอก ขนบริเวณอวัยวะเพศ

รวมถึงขนรักแร้ ซึ่งต้องบอกว่าแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นขนแต่ละบริเวณก็ขึ้นช้าเร็วไม่เท่ากัน แต่เนื่องจากผู้ชายหลายคนใส่ใจกับขนรักแร้มากเป็นพิเศษ กระปุกดอทคอมจึงขอมาไขข้อสงสัยว่า ผู้ชายมีขนรักแร้ตอนไหน แล้วถ้าผู้ชายไม่มีขนรักแร้จะผิดปกติหรือเปล่า รวมถึงประโยชน์ของขนรักแร้ผู้ชายมีอะไรบ้าง ตามมาดูกัน

👉🏿ผู้ชายมีขนรักแร้ตอนไหน
ตอนเด็กคนเราจะมีขนอ่อน ๆ ขึ้นทั่วร่างกายเพื่อควบคุมอุณหภูมิ แต่เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนที่ชื่อว่าแอนโดรเจนขึ้นมา ซึ่งฮอร์โมนนี้เรียกง่าย ๆ ว่า ฮอร์โมนเพศ ช่วยให้ต่อมเหงื่อ Apocrine เริ่มทำงาน โดยผู้ชายจะมีขนรักแร้ รวมถึงขนบริเวณอื่น ๆ ในร่างกายขึ้น

เมื่ออายุประมาณ 11-14 ปี และยิ่งร่างกายผลิตแอนโดรเจนมากเท่าไรก็จะมีพื้นที่เจริญเติบโตของเส้นขนที่โตเต็มที่มากขึ้น เช่น ขา แขน หน้าอก และเท้า ซึ่งขนบริเวณเหล่านี้ส่วนใหญ่จะหยุดความยาวอยู่ที่น้อยกว่า 6 นิ้ว ต่างจากเส้นผมที่ยาวขึ้นได้เรื่อย ๆ

👉🏿ประโยชน์ของขนรักแร้คืออะไร
สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติย่อมมีปัจจัยที่เป็นเหตุเป็นผล ซึ่งขนรักแร้ที่ขึ้นมานั้นก็มีประโยชน์ คือ

⭐ช่วยสร้างฟีโรโมน - รักแร้ปล่อยกลิ่นที่มีฟีโรโมน ซึ่งเป็นสารเคมีที่ผลิตขึ้นเองตามธรรมชาติ ทำหน้าที่ดึงดูดทางเพศ การมีขนรักแร้จะช่วยดักจับกลิ่นจากความชื้นหรือเหงื่อที่เกาะติดกับเส้นขน ทำให้ฟีโรโมนแรงขึ้น ซึ่งมีงานวิจัยมาแล้วว่าการที่คู่รักได้ดมกลิ่นกายธรรมชาติของกันและกันจะช่วยบำบัดความเครียดได้ อีกทั้งการมีกลิ่นฟีโรโมนชัด ๆ ก็เพิ่มเสน่ห์ให้กับเพศตรงข้ามได้ด้วย

⭐ช่วยลดแรงเสียดทาน - ขนรักแร้ช่วยป้องกันการสัมผัสทางผิวหนังเมื่อทำกิจกรรมบางอย่าง เช่น วิ่งและเดิน ทำให้ไม่เจ็บบริเวณรักแร้นั่นเอง

⭐ป้องกันภาวะสุขภาพอื่น ๆ - นอกจากลดการเสียดสีของผิวหนังแล้ว การมีขนรักแร้ยังช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น สิวใต้วงแขน ขนคุด การระคายเคืองผิวหนัง เป็นต้น

👉🏿โกนขนรักแร้ดีไหม ?
อันที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องโกนขนรักแร้ เพียงแต่ต้องคอยดูแลรักษาใต้วงแขนให้สะอาด ปราศจากเหงื่อและความอับชื้น เพื่อป้องกันกลิ่นไม่พึงประสงค์ แต่หากไม่ชอบที่จะมีขนรักแร้ก็สามารถโกนได้ โดยประโยชน์ของการโกนขนรักแร้ คือ

⭐ช่วยลดเหงื่อใต้วงแขน - เนื่องจากขนรักแร้จะทำหน้าที่เก็บความชื้นเอาไว้ การโกนขนรักแร้จะทำให้ความชื้นใต้วงแขนหายไป จึงช่วยลดเหงื่อได้

⭐ช่วยลดกลิ่นตัว - เหงื่อใต้วงแขนเกี่ยวข้องกับกลิ่นตัวโดยตรง เนื่องจากขนรักแร้มักจะสะสมแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นเอาไว้ ดังนั้นเมื่อโกนขนรักแร้ออกไปจึงช่วยลดกลิ่นตัวได้ อีกทั้งยังสามารถทำความสะอาดผิวได้สะดวกขึ้น และยังทำให้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายสัมผัสกับผิวหนังได้โดยตรงอีกด้วย

👉🏿ทั้งนี้ การโกนขนรักแร้ หากโกนไม่ถูกวิธีอาจมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น อาการไหม้จากมีดโกน ขนคุด บาดแผล และการระคายเคือง เป็นต้น

🧔ผู้ชายไม่มีขนรักแร้ ผิดปกติไหม
หากอายุถึงวัยเจริญพันธุ์แล้ว แต่ขนรักแร้ยังไม่ขึ้น อาจเป็นผลจากพันธุกรรม แต่ถ้าขนส่วนอื่นขึ้นเป็นปกติก็ไม่ต้องเป็นกังวล ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับฮอร์โมนแอนโดรเจนด้วยว่าผลิตมากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้การไม่มีขนรักแร้ก็อาจมาจากภาวะสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน โรคไต โรคหอบหืด หรือความผิดปกติของต่อมไทรอยด์และต่อมใต้สมอง ซึ่งต้องลองสังเกตร่างกายตัวเองดูว่ามีความผิดปกติอื่นใดหรือไม่ หากเกิดความผิดปกติขึ้นให้ลองไปปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป

🧔เรื่องของขนรักแร้เป็นเรื่องธรรมชาติที่จะต้องมีกันทุกคน และขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลว่าอยากเก็บไว้หรืออยากโกนทิ้ง ทั้งนี้ ต้องลองศึกษาและตัดสินใจกันดูครับ

แต่ก็ยอมรับนะครับว่าบางทีมันก็รำคาญไม่ว่าหนวด เครา ขนรักแร้ ผู้ชายบางคนก็ไม่ค่อยชอบนะครับเพราะว่ามันดูรกรุงรังแล้วก็ทำให้เกิดความไม่สะอาด...แล้วแต่ก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละบุคคลนะครับว่าท่านใดจะชอบหรือไม่ชอบ...

บางทีมันก็ผสมกับความขี้เกียจด้วยนะครับขี้เกียจโกนหนวดโกนเคราโกนขนรักแร้อะไรอย่างนี้🙄

รายการบล็อกของฉัน