Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันพุธที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2566

แปลกแต่จริง..สาวขายลมตดใส่โหลป่วยเข้า รพ. จึงเปลี่ยนมาขาย ตด.JPG แทน


สาวขายลมตดใส่โหลป่วยเข้า รพ. จึงเปลี่ยนมาขาย ตด.JPG แทน

ดูข่าวนี้แล้วมันทำให้รู้สึกว่าเธอคนนี้เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส 

เพราะเธอเป็นโรค ตดออกมาบ่อย หรือ ผายลมมากเกินไปนั่นเอง  ก็เลยมีความคิดพิสดาร นำเอาลมตดนั้นใส่ขวดแก้ว ขายเสียเลยมันเป็นธุรกิจที่ไม่มีใครเลียนแบบเลยนะครับขายสดใส่ขวดจนรวย แต่มันก็แปลกนะครับมีคนซื้อตดลมจะผายลมตดของเธอมากมาย..

ไม่ทราบว่าถ้าคนอื่นๆจะขายลมตดตัวเองบ้างแล้วก็จะมีคนซื้อหรือเปล่านะครับฮ่าๆๆ

แต่ไม่รู้ว่าเธอคนนี้ขายตดตัวเองหรือพายลมของตัวเอง ลมตดมีรสชาติหรือมีกลิ่นอะไรบ้างก็ยังไม่รู้นะครับ...แต่ไม่รู้ว่าคนที่ซื้อลมตด เธอ ไปจะเปิดขวด เลยหรือว่าดมกลิ่นตดเธอ เลยหรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับในข่าวก็ไม่ได้บอกเอาไว้ซะด้วย

กลายเป็นข่าวดังไปเมื่อปลายปีที่แล้ว หลังจากที่หญิงสาวรายหนึ่งขายตดของตัวเองในโหลแก้ว และทำเงินได้มากมายมหาศาล




สเตฟานี แมตโต อดีตดาราสาวจากรายการเรียลลิตี 90 Day Fiancé กำลังมีชีวิตที่รุ่งโรจน์หลังจากที่เธอตัดสินใจขาย ‘ลมตดในขวดโหล’ จนเธอสามารถสร้างรายได้ให้กับตัวเองได้ถึง 200,000 เหรียญ หรือประมาณ 6.6 ล้านบาท


แต่ไม่มีธุรกิจใดที่ไม่มีอุปสรรค เพราะในในที่สุดเธอก็ต้องเข้าโรงพยาบาลหลังจากที่เกิดอาการเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง และเธอคิดว่าตัวเองกำลังหัวใจวาย

“ฉันคิดว่าฉันเป็นโรคหลอดเลือดสมอง และนั่นเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของฉัน เพราะฉันทุ่มเทกับมันมากไป”

หญิงสาววัย 31 ปีได้รับการตรวจร่างกายอย่างละเอียดและสรุปว่ามันกลายเป็นเพราะอาหารที่เธอรับประทานมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็น ถั่ว ไข่ ซุปถั่วดำ โปรตีนเชก ทั้งหมดนี้ก็เพื่อช่วยให้เธอผายลมได้มากขึ้น


จนถึงจุดหนึ่ง สเตฟานีรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง มีแรงกดในท้องของเธอที่เลื่อนขึ้นมาทางด้านบน และนั่นทำให้แพทย์แนะนำให้เธอเปลี่ยนอาหารที่รับประทานโดยสิ้นเชิง รวมถึงการทานยาระงับแก๊สและยุติการทำธุรกิจนี้อีกด้วย

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่สามารถนำตดของเธอมาใส่โหลขายได้อีก แต่ปัญหาสุขภาพไม่ทำให้เธอล้มเลิกความตั้งใจ เนื่องจากเธอตัดสินใจที่จะขายตดของเธอเป็น NFT บนโลกออนไลน์แทน


NFT หรือ Non-Fungible Token ก็คือทรัพย์สินหรือเหรียญดิจิทัลที่มีลักษณะเฉพาะตัว ไม่มีซ้ำกัน มันอาจเป็นงานศิลปะที่มีเพียงชิ้นเดียว หรือจะเป็นอะไรก็ได้ที่คุณอยากหยิบมาขายบนโลกออนไลน์

สเตฟานีตัดสินใจเปิดเว็บไซต์ของเธอและขาย ‘ตดใส่โหลดิจิทัล’ เป็นจำนวน 5,000 ขวดในรูปแบบไฟล์ JPEG โดยสนนราคาอยู่ที่ 0.05 Ethereum ซึ่งเทียบเท่ากับเงินประมาณ 5,100 บาท ณ อัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน


ที่น่าเหลือเชื่อก็คือ ตั้งแต่เธอเปิดตัวมาเพียงไม่กี่วันก็สามารถขายตดดิจิทัลของเธอได้มากกว่า 1,000 ชิ้นไปแล้ว ซึ่งถ้าหากเธอขายได้หมดก็จะสามารถทำเงินได้สูงถึง 25.5 ล้านบาทเลยทีเดียว

“ฉันคิดว่าบางทีการทำให้ตดเป็นดิจิทัลและใส่มันลงไปในเมตาเวิร์ส จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ทำให้ธุรกิจนี้ดำเนินต่อไป” สเตฟานีกล่าว

“ฉันอยากจะยกตัวอย่างให้ผู้หญิงในชุมชน NFT เห็นว่า พวกเธอก็มีพื้นที่เกิดได้เหมือนกัน”

“ตดในแต่ละโหลไม่ได้เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ตดของฉันเท่านั้น แต่พวกมันยังสามารถทำเงินให้กับคุณได้อีกด้วย”

ลมตดของเธอน่าจะมีกลิ่นหอมชวนดมมากเลยนะครับ ไม่น่าถึงขายดิบขายดีอย่างกะเทน้ำเทท่า

เมืองลอยน้ำแห่งแรกของโลกเตรียมสร้างที่เกาหลีใต้ และจะเสร็จสิ้นในปี 2025



เมืองลอยน้ำแห่งแรกของโลกเตรียมสร้างที่เกาหลีใต้ และจะเสร็จสิ้นในปี 2025

เนื่องจากสถานการณ์น้ำทะเลเพิ่มขึ้นพื้นที่อาศัยสำหรับมนุษย์ก็จะลดลง

ก็เลยจะต้องหาทางสร้างเมืองที่อยู่ในน้ำลอยน้ำลอยฟ้ากันไปตามเรื่องตามราวนะครับ  บ้างก็ย้ายเมืองหลวงไปอยู่บนที่สูงหนีน้ำ

ก็ตามแต่ใครอยากจะทำก็ทำไปเถอะถ้ามีเงิน 

แต่สำหรับเมืองลอยน้ำนี้ผมว่ามันเป็นความคิดที่ดีมากๆเลยนะครับ

โดยเฉพาะประเทศไทยควรจะเริ่มมีโครงการสร้างเมืองลอยน้ำได้แล้วต่อไปในอนาคตกรุงเทพฯเมืองรอบๆต้องจมทะเลแน่นอน

รัฐบาลรีบลงมือสร้างเสียแต่บัดนี้ในอนาคตประชาชนหนีน้ำทะเลท่วมจะได้ไปอาศัยอยู่บนเมืองลอยน้ำลอยไปลอยมา


ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สถาปนิกและวิศวกรจำนวนมากได้พูดคุยถกเถียงกันถึงการสร้างเมืองลอยน้ำแห่งแรกขึ้น แต่ปรากฎว่าการนำแนวคิดในจินตนาการมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงถือเป็นเรื่องยาก โดยรัฐบาลท้องถิ่นแต่ละที่เองก็ไม่เต็มใจที่จะลงทุนไปกับไอเดียที่ทะเยอทะยานนี้

แต่ในที่สุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เมืองปูซานของเกาหลีใต้ได้ตัดสินใจทำให้โครงการนี้เกิดขึ้นจริง โดยได้ร่วมมือกับผู้ออกแบบโครงการอย่าง OCEANIX และโครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ (UN-Habitat)


จากรายงานระบุว่า เมืองลอยน้ำแห่งนี้จะครอบคลุมพื้นที่กว่า 469 ไร่ รองรับผู้อยู่อาศัยได้ประมาณ 10,000 คน โดยประกอบด้วยเกาะรูปทรงหกเหลี่ยมจำนวนมาก โดยแต่ละเกาะจะกินพื้นที่ราว 12.5 ไร่ และมีชุมชนอาศัยอยู่ราว 300 คน


เกาะเล็ก ๆ ดังกล่าวจะถูกจัดให้อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 6 เกาะ รอบ ๆ ท่าเรือกลาง ซึ่งจะเกิดเป็นหมู่บ้านที่มีประชากรมากถึง 1,650 คน

เมืองลอยน้ำจะได้รับการออกแบบให้เติบโต เปลี่ยนแปลง และปรับตัวได้ตามกาลเวลา โดยเริ่มพัฒนาจากย่านชุมชนสู่หมู่บ้าน และขยับขยายไปยังเมือง ซึ่งการออกแบบและแผนการขยับขยายของเมืองลอยน้ำยังไม่ถูกเปิดเผยเป็นที่แน่ชัด


Itai Madamombe ผู้ร่วมก่อตั้ง OCEANIX กล่าวกับสำนักข่าว Insider ว่า “มันเพิ่งเกิดขึ้นที่ปูซานเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับเราในการสร้างผลงานต้นแบบนี้”


“แต่นี่คือบางสิ่งที่เราหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเมืองชายฝั่งทั้งหมดทั่วโลก เนื่องจากชุมชนชายฝั่งทั้งหมดกำลังเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล”


เนื่องจากมันเป็นเมืองลอยน้ำ ดังนั้นมันจะลอยสูงขึ้นไปพร้อม ๆ กับระดับน้ำทะเล ซึ่งสามารถป้องกันน้ำท่วมได้ ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถผลิตพลังงาน น้ำจืด และอาหารได้ด้วยระบบภายในเมืองเองทั้งหมด โดยมีกรงใต้เกาะที่ใช้เป็นที่เพาะเลี้ยงสัตว์ทะเลได้


ตอนนี้ OCEANIX กำลังทำงานร่วมกับนักออกแบบท้องถิ่นเพื่อปรับแต่งเมืองลอยน้ำให้เข้ากับสภาพแวดล้อมท้องถิ่น โดยจะมีการนำเสนอผลลัพธ์ต่อทาง UN ในเดือนเมษายนปีหน้า

สำหรับงบประมาณสำหรับการก่อสร้างเมืองลอยน้ำคาดว่าอยู่ที่ประมาณ 200 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 6,600 ล้านบาท


Madamombe กล่าวว่า “เวลาการก่อสร้างทั้งหมดประมาณ 3 ปี ดังนั้นคาดว่าภายในปี 2025 เราจะได้เห็นเมืองต้นแบบนี้ในน้ำ”

นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น โดยขณะนี้ OCEANIX เองก็กำลังเจรจากับรัฐบาลอื่น ๆ อีก 10 แห่งเกี่ยวกับการสร้างเมืองลอยน้ำ ซึ่งบริษัทของเขาสามารถเสนอแนวทางการใช้ชีวิตในอุดมคติได้ โดยเฉพาะบริเวณเมืองริมชายฝั่งที่ได้รับผลกระทบจากน้ำทะเลที่สูงขึ้น


นอกจากนั้น OCEANIX ยังบอกในเว็บไซต์ของพวกเขาว่า “เมืองลอยน้ำสามารถสร้างสำเร็จรูปได้บนฝั่งและค่อยลากไปยังจุดสุดท้ายที่ต้องการได้ ซึ่งช่วยลดต้นทุนก่อสร้างเป็นอย่างมาก”

และเมื่อรวมกับต้นทุนค่าเช่าพื้นที่ในมหาสมุทรที่ไม่ได้สูงมาก จะทำให้ราคาบ้านบนเกาะลอยน้ำมีราคาที่จับต้องได้นั่นเอง

วันอังคารที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2566

ปล่อยใจให้ว่างกับ7กฎการใช้อารมณ์ในเวลางานและความเครียด



ความเครียด เป็นสภาวะจิตใจและร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นผลจากการที่บุคคลต้องปรับตัวต่อสิ่งกระตุ้นหรือสิ่งเร้าต่างๆ ในสิ่งแวดล้อมที่กดดันหรือคุกคามให้เกิด ความทุกข์ ความไม่สบายใจ
ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และความเครียด     


ปัจจัยเกี่ยวกับสุขภาพและการเจ็บป่วย ทั้งรุนแรงและไม่รุนแรงทำให้เกิดความเครียดได้
บุคลิกภาพ ผู้ที่มีบุคลิกภาพที่ชอบแข่งขัน เร่งรีบ ต้องการเอาชนะไม่อดทน จะมีความเครียดมาก
      ครอบครัว ความขัดแย้งในครอบครัว ปัญหาเรื่องลูก ความยุ่งยาก เรื่องเพศ ฯลฯ
      การงาน ขึ้นอยู่กับลักษณะงาน ภาระงาน ความสัมพันธ์กับผู้ร่วมงานระดับต่างๆ ค่าตอบแทน ฯลฯ
      สิ่งแวดล้อม อากาศ แสง เสียง ฝุ่น ความร้อน ฯลฯ


ผลกระทบของอารมณ์และความเครียด
      1. ผลกระทบต่อตนเอง
            - ทางกาย อาทิ ปวดศีรษะ ปวดศีรษะข้างเดียว หัวใจเต้นแรงและเร็ว มือเท้าเย็น ท้องอืด คลื่นไส้หรือปั่นป่วนในท้อง ความดันโลหิตสูง หอบหืด โรคหัวใจ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ
            - ทางอารมณ์ อาทิ หงุดหงิด โกรธง่าย วิตกกังวล ซึมเศร้า ฯลฯ
            - ทางด้านความคิด อาทิ หดหู่ ไม่มีสมาธิ ตัดสินใจลำบาก หลงลืมง่าย มีความคิดทางลบมากกว่าทางบวก เห็นตัวเองไม่มีคุณค่า สิ้นหวัง ฯลฯ
            - ทางพฤติกรรม อาทิ ดื่มจัดมากเกินไป สูบบุหรี่จัด ไม่เจริญอาหาร ก้าวร้าว นอนไม่เต็มที่ ฯลฯ
      2. ผลกระทบของความเครียดต่อครอบครัว
      ครอบครัวขาดการสื่อสารที่ดีซึ่งกันและกันไม่ยอมรับและไม่มีความเข้าใจกันเกิดความขัดแย้งทะเลาะวิวาท เกิดการหย่าร้าง หรือแยกกันอยู่ระหว่างสามีภรรยา ลูกไม่ได้รับความรักความอบอุ่นและความเอาใจใส่จากพ่อแม่


7 กฎของการใช้อารมณ์ในเวลางาน
บทความนี้ให้แง่คิดด้านการทำงานได้ดีมาก
เป็นเรื่องของเกร็ดที่น่าสนใจในการใช้อารมณ์ในเวลางานมาฝากกัน เผื่อใครสนใจจะได้ลองเอาไปใช้ดูนะคะ เพราะอารมณ์เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่ส่งผลต่อการทำงาน

1. คุณคือโลโก้ บริษัท อย่าวู่วามกฎข้อแรกที่เรากำลังจะพูดถึง คือ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร คุณต้องระงับอารมณ์ โดยเฉพาะอารมณ์โกรธของคุณให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อถูกท้าทายระหว่างการทำงานนอกสำนักงานของคุณเอง



2.ความขัดแย้งทำลายบรรยากาศการทำงาน และไม่ทำให้คุณมีความสุข
แม้จะไม่ลงรอยกันหรือเกลียดหน้ากันมากแค่ไหน การมีช่องว่างระหว่างกัน ทำตัวออกห่าง โดยเลือกที่จะไม่อยู่ใกล้ คือ หนทางเดียวที่จะทำให้คุณทำงานร่วมกับคู่อริได้อย่างมีความสุขที่สุด โดยที่ไม่ถูกจับจ้องหรือเพ่งเล็ง

3.การประเมินอารมณ์เป็นเรื่องที่ทำได้ เมื่อเหตุการณ์จบลง และแน่ใจว่าได้แก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดหรือสิ่งที่คนอื่นเข้าใจผิดกับตัวคุณให้ผ่านพ้นไปแล้ว คุณน่าจะประเมินเหตุการณ์เหล่านั้นอย่างถี่ถ้วนที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อหาคำตอบให้กับตัวเองว่า สาเหตุของความโกรธหรือความอ่อนไหวของคุณคืออะไร (คน ระบบ หรือสถานการณ์) นอกเหนือไปจากนั้น คุณจะต้องรู้ว่าคุณมีดีกรีหรือระดับความโกรธมากแค่ไหน

4.สร้างเงื่อนไขให้กับตัวเองเสียใหม่เมื่อทราบแล้วว่าคุณ "Sensitive" หรือโกรธได้ง่ายๆ กับเรื่องหนึ่งเรื่องใด สิ่งที่ทำได้ คือ ใช้บทเรียนของคุณมาแก้ปัญหานั้นๆ เช่น ถ้าคุณต้องโมโหจนควันออกหูทุกครั้งกับคนคนเดิมที่ต้องประสานงาน ทางออกที่ดีคือพูดกันให้น้อยที่สุดแล้วใช้การติดต่อทางอีเมล์ช่วยในการประสานงาน หรือเมื่อถูกมองในแง่ลบ คุณจะต้องสงบสติอารมณ์แล้วแสดงทรรศนะด้วยความสุภาพ ชี้แจงว่าคุณไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิด แทนการใช้อารมณ์โดยปราศจากการเรียบเรียง


5.ผิดแล้วผิดอีกไม่ได้หลังจากที่โดนลงอาญาจากเพื่อนฝูงและเจ้านาย แม้ว่าจะเป็นฝ่ายถูกในเรื่องของเหตุผล คุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกได้ ดังนั้น สิ่งที่คุณควรทำคือการยับยั้งชั่งใจ และวางตัวเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีของทุกคนในโหมดที่เคยเป็น

6.หลบไปตั้งหลักหรือทำสมาธิในที่ที่ไม่มีใครเห็นบางครั้งการจัดการกับอารมณ์ก็หนักหนาสาหัสสุดๆ สำหรับใครบางคน อย่างไรก็ตาม การเดินหนีปัญหาชั่วคราวด้วยการออกไปหามุมสงบเพื่อนั่งสมาธิ หรือปล่อยใจให้ว่างก็เป็นทางออกที่เหมาะสมไม่ว่าจะเป็นห้องโล่งว่าง ร้านกาแฟ หรือขับรถออกไปกินลมสักพัก เมื่อสมองปลอดโปร่งแล้วเรื่องทุกอย่างก็คลี่คลาย

7. บอกกับทุกคนว่า "โอเค ยังไหว"โดยธรรมชาติของมนุษย์ อารมณ์ต่างๆ เป็นสิ่งที่มนุษย์ด้วยกันสามารถสัมผัสและเข้าใจได้ ไม่ว่าคุณจะพยายามปกปิดแค่ไหน ยกเว้นก็แต่ผู้ร้ายปากแข็งและนักแสดง ไม่ใช่เพียงแค่อารมณ์โกรธหลายครั้งที่เหนื่อยจากการทำงานหรือต้องเผชิญกับปัญหาส่วนตัว อารมณ์เหล่านี้จะถูกสะท้อนออกมาให้เห็นจากแววตาและสีหน้าของคุณโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ 

สิ่งที่คุณควรทำคือ บอกทุกคนว่ายังไหว เพื่อสร้างกำลังใจให้กับทุกคนในการทำงาน และไม่เปิดช่องว่างให้กับศัตรู ถ้าจะเปรียบก็คงจะไม่ต่างอะไรกับการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ที่คุณต้องนิ่งเข้าไว้ เพื่อไม่ให้คนในสงสัยว่ามีไพ่อะไรอยู่ในมือของคุณ

ที่มา http://jcareer.co.th/th/05/
เรียบเรียงข้อมูลโดยmanman

รายการบล็อกของฉัน