Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2564

“อิลิปิกา” สัตว์หายาก – ใกล้สูญพันธุ์มากที่สุดของโลก (ตอนนี้เหลือไม่ถึง 1 พันตัว)


เป็นระยะเวลากว่า 30 ปีแล้ว ที่ตัว “อิลิปิกา” (Ili Pika) ปรากฏตัวขึ้นมาให้โลกรู้จัก เป็นสัตว์ตัวจิ๋วสุดน่ารักคล้ายหนูผสมกระต่าย หน้าตาเหมือนตุ๊กตาหมี ใบหูกลมใหญ่ อาศัยอยู่บนเทือกเขาสูงในประเทศจีน ที่ตอนนี้เป็นสายพันธุ์ตัวปิก้าที่หายากและใกล้สูญพันธุ์มากที่สุดในโลก

โดย “อิลิปิกา” ปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1983 บนเทือกเขาเทียนซาน ขณะที่ เหวยตง หลี่ นักวิจัยจากสถาบันนิเวศวิทยาและภูมิศาสตร์ซินเจียง กำลังสำรวจธรรมชาติ เขาพบเห็นสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วคล้ายกระต่ายซ่อนตัวอยู่ในซอกหินบนหุบเขา มันมีขนาดตัวประมาณ 20 เซนติเมตร ขนสีเทา มีลายจุดเล็ก ๆ สีน้ำตาล ซึ่งเขาไม่เคยพบสิ่งมีชีวิตตัวนี้มาก่อน จึงจับตัวอย่างมา 1 ตัวเพื่อตรวจสอบ

หลี่ส่งตัวอย่างไปยังศูนย์วิจัย Chinese Academy of Science จึงทราบว่านี่เป็นสัตว์สายพันธุ์ใหม่ที่อยู่ในตระกูลปิกา (Ochotona) และตั้งชื่อทางการให้ว่า “อิลิปิกา” ชื่อวิทยาศาสตร์ Ochotona iliensis แต่หลังจากการค้นพบครั้งนั้น ก็แทบไม่มีใครเคยพบมันอีกเลย (มีเพียง 29 ครั้งเท่านั้นที่มีรายงานการพบพวกมัน) ทำให้นักวิทยาศาสตร์ไม่ค่อยรู้จักและเข้าใจพฤติกรรมของเจ้าอิลิปิกาเท่าไหร่นัก

โดยสาเหตุที่ยากจะพบตัวอิลิปิกา เป็นเพราะมันอยู่บนเทือกเขาสูงที่ระดับความสูงประมาณ 2,800 – 4,100 เมตร แถมซ่อนตัวเก่ง เรียกได้ว่าถ้าไม่ใช่นักปีนเขาหรือนักวิจัยที่จงใจขึ้นไปตามหามันโดยเฉพาะ ก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเจอตัวมันได้เลย 

ซึ่งครั้งล่าสุดที่มีการค้นหาอิลิปิกาอย่างจริงจัง คือเมื่อปี 2014 ที่นำโดย เหวยตง หลี่ ผู้ค้นพบอิลิปิกาคนแรก รวบรวมนักวิจัยอาสาสมัครมุ่งหน้าขึ้นไปยังเทือกเขาเทียนซาน และตั้งกล้องถ่าย โดยวางกับดักด้วยเมล็ดพืชเป็นเหยื่อล่อให้มันโผล่มาในเฟรม และพวกเขาก็ทำสำเร็จ “มันซ่อนตัวอยู่ที่หลังหิน มันน่ารักมาก เหมือนตุ๊กตาหมีที่ผมซื้อให้ลูกสาวเลย” – ทัตซึยะ ชิน หนึ่งในทีมวิจัยกล่าว

จากการประเมินเมื่อปี 1990 ทาง IUCN คาดประมาณจำนวนอิลิปิกาในธรรมชาติอยู่ที่ราว 2,000 ตัว แต่สัตว์ที่อยู่บนเทือกเขาสูงแบบนี้มักอ่อนไหวต่อสภาพอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงไป นับตั้งแต่การประเมินในปีนั้นจนถึงปัจจุบันก็ผ่านมากว่า 30 ปีแล้ว แน่นอนว่าสภาพอากาศโลก ณ ตอนนี้ เปลี่ยนไปจาก ณ ตอนนั้นมาก ดังนั้น IUCN จึงคาดการณ์ว่า จำนวนอิลิปิกาในปัจจุบันอาจมีไม่ถึง 1,000 ตัวครับ

– “ปิกาจู” (Pikachu) ในโปเกมอนได้แรงบันดาลใจมาจาก “กระรอก” ไม่ใช่หนูอย่างที่เราเข้าใจกัน จากการให้สัมภาษณ์ของ อาสึโกะ นิชิดะ ผู้ออกแบบตัวปิกาจู แต่สาเหตุที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นหนู เพราะ ซาโตชิ ทาจิริ ผู้พัฒนาเกม Pokemon จัดให้ปิกาจูเป็นตัวละครประเภท “หนูไฟฟ้า” เพราะมันเหมือนหนูมากกว่ากระรอกนั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2564

หามาปลูกไว้ในบ้าน ว่านพระตะบะป้องกันอันตรายจากผีทั้งปวง

ไม่ต้องกลัวผีอีกต่อไป..รีบหามาปลูกไว้ในบ้าน "ว่านพระตะบะ"ป้องกันอันตรายจากผีทั้งปวงได้แน่นอน ปลูกวันเสาร์ข้างขึ้นตรงตามตำราโบราณ #ว่านกันผี 
ว่านพระตะบะ
ลักษณะ
ทั่วไปของว่านนี้ หัวเหมือนขมิ้นอ่อน แต่ใหญ่กว่านิดหน่อย เนื้อในหัวสีขาว มีรสเผ็ดร้อนฉุน ต้น ใบ มีสีเขียวเหมือนขมิ้นอ้อย แต่หลังใบมีขนละเอียดกระด้างเอามือลูบสากมือ เมื่อฤดูแล้งใบจะโทรม

ว่านพระตะบะ
ประโยชน์
ว่านนี้มีธาตุปรอทอยู่ในหัว จึงทำให้อิทธิฤทธิ์มาก ตลอดทั้ง ราก หัว ต้น ใบ สามารถคุ้มครองป้องกันอันตรายจากภูติผีปีศาจ และขับไล่ภูตผีทั้งปวงกลัวยิ่งนัก หากมีว่านนี้พกติดตัวไป ภูตผีทุกชนิดไม่กล้าสำแดงฤทธิ์เดชอย่างใด ถ้าผู้ที่ถูกผีเข้าสิงอยู่พอเห็นผู้ที่พกว่านนี้มักจะแสดงอาการเกรงกลัวให้เห็นเป็นพิรุธ พอเข้าใกล้ก็จะล้มชักทันที

ว่านพระตะบะการปลูก
ใช้หัวว่านปลูกในดินปนทรายผสมกระเบื้องที่เผาไฟแล้วทุบให้ละเอียด เอามาเป็นดินปลูกควรเป็นกระถางทรงโตหน่อย เอาหัวว่านวางกลบดินพอมิด เอาน้ำที่เสกด้วย “นะโมพุทธายะ”๓ จบ แล้วรดอย่าให้โชกนัก ตั้งไว้ตามมุมบ้าน นอกชายคา ปลูกในวันอังคาร , พฤหัสบดี และวันเสาร์ข้างขึ้นดีที่สุด

ความเชื่อตามตำรา
😬ครูบาอาจารย์กล่าวไว้ว่าว่านพระตะบะสามารถใช้ป้องกันภูตผีปีศาจได้ดียิ่งนัก ซึ่งสามารถใช้ได้ดีทุกส่วนของต้นว่าน หรือแม้แต่ดินที่ปลูกว่านพระตบะต้นนี้ เมื่อเอาซัดเข้าไปยังผู้ที่ถูกปีศาจสิงอยู่ จะสามารถขับไล่ปีศาจออกได้ หากนำว่านนี้ติดตัวไปด้วยภูตผีทั้งปวงจะเกรงกลัวและหลีกลี้หนีไกล ไม่กล้าสำแดงฤทธิ์เดชอภินิหารใด ๆ
ว่านพระตะบะ
ว่านพระตะบะสามารถใช้กับผีทุกประเภท ไม่เว้นแม้กระทั่งพรายน้ำพรายบก และพรายอากาศทั่วไป ตลอดทั้งผีตามป่าดงพงสูง ผีป่า ผีปอบ ผีชมบ ผีที่มีชื่อใด ๆ ก็ตามย่อมเกรงกลัวว่านนี้ทั้งสิ้น ว่านพระตะบะต้นนี้จึงใช้ปกป้องและป้องกันตัวได้ทุกสถานที่ จะไม่มีปีศาจชนิดใดมาสำแดงการหลอกหลอนได้เลย

ผู้ที่ถูกปีศาจเข้าสิงอยู่พอมองเห็นผู้มีว่านพระตะบะเข้า มักจะแสดงอาการเกรงกลัว ให้เห็นเป็นพิรุธทันที ถ้าผีเข้าใครอยู่ เอาว่านพระตะบะนี้ไปซุกไว้ใต้ที่นอนโดยไม่ให้รู้ตัว มันจะกระโดดลุกหนีเพราะที่นอนนั้นร้อนเป็นไฟแก่มันขึ้นมา 

ถ้าถือว่านนี้เข้าไปใกล้ก็จะล้มลงชักในทันที แต่มีข้อแม้ว่าว่านพระตะบะจะไม่สามารถขับไล่ผีปู่ย่าตายายได้ แต่จะทำให้กลัว เมื่อเห็นว่านพระตะบะก็จะรีบออกหลังจากบอกความต้องการที่มารบกวนแล้วก็ออกไป

👉ว่านพระตะบะ
สำหรับ ในรายที่เข้าทรงเจ้า ถ้านำหัวว่านนี้เข้าไปถามว่านี้คือว่านอะไร หากเป็นเจ้าเข้าทรงจริงๆจะรู้จัก และบอกชื่อถูกรวมทั้งยังบอกสรรพคุณของว่านได้ แต่ถ้าเข้าทรงเท็จคือหลอกลวงแอบแฝงหากินโดยไม่มีใครเข้าทรงก็จะไม่รู้จัก เพราะแม้แต่พระภูมิเทพเจ้าที่หรือเทพาอารักษ์ทุกองค์ท่านก็รู้จักว่านนี้ดีทั้งนั้น เพราะว่านนี้ไม่มีอิทธิฤทธิ์อย่างใดแก่ท่าน

การนำไปใช้ตามความเชื่อสมัยโบราณ
เมื่อมีหญิงจะคลอดบุตร เพียงแบ่งหัวว่านพระตะบะผูกแขวนไว้ตรงหัวนอนหญิงคนนั้น และแขวนไว้ที่กระโจมเด็กเพียงชิ้นเล็ก ๆ 
ก็สามารถป้องกันได้ทุกอย่าง ถ้าเด็กนอนสะดุ้งผวา เอาว่านผูกข้อมือจะหลับสบาย ผู้ใหญ่หลับตาเห็นแต่ภูตผีปีศาจ เอาว่านนี้ใส่ไว้ใต้หมอนก็จะหายได้
ว่านพระตะบะ
มีว่านนี้อยู่กับตัวพรายแม่ที่ตายไปจะมารบกวนลูกไม่ได้ และพรายลูกที่ตายไปก็ไม่อาจมารบกวนแม่ได้เช่นเดียวกัน ทาง ที่ดีนั้นควรเอาว่านนี้ใส่ตลับแขวนห้อยคอไว้ จะป้องกันในทางปีศาจได้ทุกชนิดทุกอย่างหมดหากมีผีป่ากินคน โดยมีอาการท้องร่วงเหมือนอหิวาให้ใช้หัวว่านนี้ฝนละลายน้ำให้กิน ก็จะหายได้เหมือนกัน

หัวกะโหลกลึกลับคนมีเขา

หัวกะโหลกคนมีเขา
กะโหลกที่มีเขางอก
ที่เพนน์ซิลเวเนีย ปลายศตวรรษที่ 19 ชาวอเมริกันกลุ่มหนึ่งไปขุดเนินดินเก่าแก่แห่งหนึ่งของตำบล Sayre พวกเขาพบสุสานโบราณขนาดใหญ่
ที่น่าแปลกคือ โครงกระดูกที่พบในสุสานนั้นแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป เพราะตรงกะโหลกมีกระดูกเหมือนเขาสัตว์ยาวราว 2 นิ้ว งอกออกมาเหนือคิ้วทั้งสองข้าง
นอกจากมีเขาแล้ว โครงกระดูกยังมีขนาดใหญ่กว่ามนุษย์ปกติ โครงกระดูกที่พบทั้งหมดล้วนมีความสูงมากกว่า 2 เมตร และเมื่อนำไปตรวจสอบพบว่ามีอายุราว 1,200 ปี หลังคริสตกาล
ก่อนหน้านั้นที่ทวีปอเมริกาเหนือก็มีการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ขนาดใหญ่ลักษณะเดียวกันนี้มาแล้วที่แถบเวลส์วิลล์ รัฐนิวยอร์ค และที่เหมืองแห่งหนึ่งในเท็กซัส
ต่อมาโครงกระดูกโบราณที่พบในเพนน์ซิลเวเนียถูกส่งไปที่พิพิธภัณฑ์ในฟิลาเดลเฟีย

แต่ต่อมาถูกขโมยไปแบบไร้ร่องรอย เหลืออยู่เพียงภาพถ่ายเท่านั้น ทำให้หลายคนเชื่อว่าโครงกระดูกเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างกระแสให้พิพิธภัณฑ์เท่านั้น ขณะที่บางคนเชื่อว่ามันคือโครงกระดูกของมนุษย์ต่างดาว
ในปัจจุบันก็มีมนุษย์ธรรมดาที่มีเขางอกออกมาให้เห็นหลายคน เช่น ที่หมู่บ้านนาลากัชฮิมาจัล ประเทศอินเดีย มีชายชื่อราม เป็นชาวชนบทวัย 79 ปี

เขามีเขางอกออกมาจากด้านหลังของศีรษะ มันงอกออกมาแล้ว
ถึง 3.4 นิ้ว ในระยะเวลาเพียงหกเดือนเศษเท่านั้น และเพื่อไม่ให้เป็นเป้าสายตาของคนทั่วไป
เขาจึงใช้ผ้าโพกไว้ ส่วนสุขภาพโดยรวมของเขานั้นแข็งแรงดีในอดีต ปรากฏภาพของคนมีเขาอยู่หลายแห่ง และมักจะแสดงถึงความยิ่งใหญ่และมีอำนาจ
เช่น บนเหรียญกษาปณ์บางรุ่นของ
อเล็กซานเดอร์มหาราช 
พบว่าพระองค์มีเขาบนศีรษะ นอกจากนี้ภาพวาดของพระเจ้าบางแห่งก็มีเขาด้วยเช่นกัน

เอาหอมใส่ในถุงเท้าก่อนนอน ช่วยให้หายเป็นหวัดได้



ค้นหา
เอาหอมใส่ในถุงเท้าก่อนนอน ช่วยให้หายเป็นหวัดได้
เรียกได้ว่าช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่อุณหภูมิเย็นที่สุดของปี (แต่สำหรับเมืองไทยนี่ไม่แน่ใจว่าเรียกว่าเย็นแล้วหรือยัง) เป็นช่วงเวลาที่หลายๆ คนชอบมากที่สุด (แถมมีวันหยุดยาวอีกต่างหาก) แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาที่คนป่วยบ่อยที่สุดเช่นกัน เพราะมันเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ด้วยฤดูแบบนี้ หากคุณกำลังมองหาวิธีการรักษาที่รวดเร็วอยู่ วันนี้เรามีวิธีแปลกมานำเสนออ แต่ขอบอกก่อนเลยว่าเจ๋งสุดๆ

เพียงแค่คุณใส่หัวหอมลงไปในถุงเท้าก่อนนอน คุณอ่านไม่ผิดหรอก มันอาจดูแปลกหน่อย แต่เป็นอะไรที่สู้กับไข้หวัดได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวล่ะ
คาดว่ามีเส้นประสาทมากกว่า 7,000 เส้น อยู่ที่บริเวณใต้เท้าของเรา ซึ่งมันเชื่อมโยงไปทุกส่วนของร่างกาย


หัวหอมมีประสิทธิภาพที่น่าทึ่ง หากวางไว้ใต้เท้าจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ทั่วร่างกาย
เป็นที่รู้กันดีว่าหัวหอมขึ้นชื่อในเรื่องของการฟอกทำความสะอาด หากนำมาใช้กับผิวจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและช่วยฟอกเลือดได้ด้วย
ดังนั้นถ้าคุณปล่อยให้หอมอยู่กับเท้าคุณทั้งคืน ปลายประสาทต่างๆ ที่อยู่ใต้เท้าคุณจะผ่านกระบวนการทำงานของหัวหอมมันถือเป็นสิ่งปฏิบัติที่เป็นเรื่องปกติมากในวงการแพทย์ตะวันออกเมื่อยุคศตวรรษที่ 16 ก่อนที่มันจะถูกลืมเลือนไป

สาบานเลยว่าหัวหอมมีคุณสมบัติชั้นดีต่อร่างกายโดยเฉพาะตับ คุณสมบัติเหล่านั้นจะช่วยต้านยาปฏิชีวนะ และไวรัสต่างๆ เพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกาย
คุณสามารถใช้ได้ทั้งหอมแดงและหอมหัวใหญ่ เพียงแค่ตัดและใส่ลงไปในถุงเท้าใต้ฝ่าเท้า จากนั้นก็เข้านอน
มันเป็นอะไรที่มหัศจรรย์มาก เพราะเมื่อคุณตื่นเช้าขึ้นมาคุณจะรู้สึกสดชื่นแบบสุดๆ ไปเลย


วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2564

เรื่องลึกลับ ขุดพบหมู่บ้านที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย


หมู่บ้านที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย และไม่มีใครรู้ว่าทำไม
ค้นหา

เรื่องราวความลึกลับนี้เกิดขึ้นในประเทศไอร์แลนด์ บนเกาะที่อยู่ห่างไกลผู้คน ซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านที่เจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่ง ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1838

บ้านกว่า 40 หลัง เคยถูกตั้งเรียงรายอยู่ไม่ไกลจากอ่าวคีม (Keem Bay) แต่ปัจจุบัน มันเหลือเพียงกองหินที่ถูกทิ้งร้างอยู่เพียงไม่กี่แห่งบนพื้นเท่านั้น
ชาวบ้านบนเกาะไม่มีใครมีความทรงจำเกี่ยวกับหมู่บ้านแห่งนี้เลย เรื่องราวของหมู่บ้านลึกลับถูกบันทึกโดยบรรดานักเดินทางที่เคยมาสัมผัสความสวยงามและเงียบสงบในอดีตเท่านั้น

พวกเขาได้อธิบายลักษณะของชาวบ้านที่นี่เอาไว้ว่า “โบราณและย้อนยุค” 
แต่ไม่มีใครทราบเรื่องราวที่พวกเขาหายไป หรือเกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้านแห่งนี้กันแน่ ?

เพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับคำถามนี้ ทีมนักวิจัยและนักศึกษาจากสถาบันโบราณคดี Achill ได้เริ่มเข้ามาค้นหาเบาะแสที่อาจหลงเหลือพอที่จะอธิบายความลึกลับนี้ได้หลักฐานที่พวกเขาได้รับคือ ความเสียหายที่เกิดขึ้นมาจากช่วงประมาณกลางศตวรรษที่ 19

ซากปรักหักพังของบ้านเรือนต่างๆ ค่อยๆ ถูกค้นพบมากขึ้น โดยกลุ่มนักสำรวจและนักวิจัย มันเป็นเสมือนข้อความที่บอกให้พวกเขารู้ว่า มีบางอย่างที่เลวร้ายเกิดขึ้นกับคนในหมู่บ้านแห่งนี้

นักโบราณคดีพบว่า บ้านของพวกเขาส่วนใหญ่ถูกก่อสร้างในแบบบ้านโบราณที่มีหินและดินเป็นส่วนประกอบหลัก และซากปรักหักพังที่เหลืออยู่จนถึงทุกวันนี้ เป็นหลักฐานที่บ่งบอกให้พวกเขารู้ว่า บ้านเหล่านี้ ถูกทำลายโดย ‘เจตนา’
แต่ปัญหาก็คือ ใครล่ะที่ทำลายหมู่บ้านเหล่านี้ ? แล้วพวกเขาหายไปไหน ?

หมู่บ้านที่หายไปนี้ จะเป็นผลมาจากความอดอยากที่แพร่ระบาดอยู่ในช่วงนั้นหรือไม่ แต่ถ้าเป็นแบบนั้น มันก็ไม่สามารถอธิบายเรื่องที่บ้านถูกทำลายได้

สรุปจนถึงตอนนี้ บรรดาทีมงานของสถาบันโบราณคดี Achill ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ แต่พวกเขาก็มีแผนที่จะกลับไปอีกครั้งในปี 2017 เพื่อทำการขุดค้นและศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมต่อไป

หลังจากอ่านเรื่องราวของหมู่บ้านลึกลับนี้จบแล้ว คุณคิดว่าเกิดอะไรกับหมู่บ้านที่หายไปแห่งนี้กันแน่ ?

Hall of Mosses ป่ามอสอันอุดมสมบูรณ์ในสหรัฐอเมริกา


ค้นหา
ป่าแห่งนี้ถูกเรียกว่า Hall of Mosses ตั้งอยู่ทางทางตะวันตกของรัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ในป่าแห่งนี้เต็มด้วยต้นไม้โบราณอายุเก่าแก่จำนวนมาก และต้นไม้แต่ละต้นนั้นก็ถูกปกคลุมด้วยไปด้วยมอสจนเป็นสีเขียวชอุ่มไปทั่วป่า ถือเป็นป่าฝนที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

มอสส์เป็นพืชขนาดเล็ก สูงประมาณ 1–10 เซนติเมตร ปกติจะเจริญเติบโตในหมู่ต้นไม้หรือบริเวณที่เปียกชื้นใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ ไม่มีดอกและเมล็ด โดยทั่วไปใบที่ปกคลุมลำต้นจะบางเล็กคล้ายลวด มอสส์แพร่พันธุ์ด้วยสปอร์ ซึ่งสร้างขึ้นที่จะงอยปลายก้านเล็กๆ คล้ายแคปซูล

มอสส์ส่วนมากพบในพื้นที่ชื้นและได้รับแสงน้อย โดยปกติจะพบในป่าและริมแหล่งน้ำลำธาร และสามารถพบได้ตามอิฐหินในถนนที่เปียกชื้นในเมือง บางชนิดเหมาะกับสภาวะอย่างกำแพงเฉพาะในเมือง อีก 2-3 ชนิดอยู่ในน้ำ

ปริศนาสุดลึกลับค้อนติดอยู่ใน หินอายุกว่า 400 ล้านปี


นี่คือเรื่องราวการค้นพบ ‘ค้อน’ ที่ติดอยู่ในหิน ฟังดูอาจจะไม่ได้แปลกอะไร หากแต่หินที่พบนั้นมีอายุหลายร้อยล้านปี! 
ค้นหา นั่นก็หมายความว่า ‘ค้อน’ 
ที่พบนั้นต้องมีอายุมากกว่าหินเป็นแน่! แล้วเหตุใดในยุคนั้นจึงมีสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์หลงเหลืออยู่ เพราะด้วยข้อมูลต่างๆ ที่นักโบราณคดีได้ทำการศึกษาค้นคว้ากันมา ก็ได้ปรากฏชัดเจนแล้วว่า เผ่าพันธุ์มนุษย์ถือกำเนิดขึ้นบนโลกเมื่อราว 200,000 ปีที่แล้ว หากเป็นเช่นนั้น ‘ค้อน’ ที่ติดอยู่ในหินก้อนนี้คืออะไรกันแน่!?

เมื่อปี ค.ศ. 1934 มีผู้ค้นพบก้อนหินประหลาดที่มีค้อนติดอยู่ด้านใน ณ เมืองนิวลอนดอน 
(New London) รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา จากการศึกษาของสถาบันวิจัย Metallurgical Institute of Columbia พบว่า ค้อนอันนี้มีส่วนประกอบของเหล็กบริสุทธิ์ 97% คลอรีน 2% และกำมะถัน 1% ซึ่งถ้าจะผลิตหัวค้อนแบบนี้ต้องใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เท่านั้นจึงจะสามารถสร้างออกมาในลักษณะเช่นนี้ได้ 

และจากการวิเคราะห์เพื่อหาอายุของหินที่หุ้มค้อนไว้นั้นพบว่า หินก้อนนี้มีอายุกว่า 400 ล้านปี เป็นหินที่อยู่ในยุค Ordovician แต่มีนักวิจัยหลายรายที่เชื่อว่า หินก้อนนี้เป็นหินอุกกาบาต และเหตุที่ค้อนฝังอยู่ในหินได้แบบนี้นั้นเป็นเพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและความกดอากาศแบบกะทันหันตั้งแต่ในยุคอดีตจนถึงยุคปัจจุบัน 

ทำให้หินสามารถหลอมละลายไปตามรูปทรงของค้อนอย่างที่เห็นเช่นนี้ ส่วนค้อนนั้นเป็นฝีมือการสร้างของมนุษย์ในยุคโบราณ หากแต่ข้อสันนิษฐานนี้ก็มีผู้เชี่ยวชาญออกมาโต้แย้งกันอย่างมากมาย บ้างก็ว่าเป็นไปไม่ได้ที่หินอุกกาบาตจะสามารถหลอมละลายเองจนหุ้มค้อนได้แบบนี้ บ้างก็ว่าค้อนลักษณะนี้เป็นเทคโนโลยีการสร้างในยุคปัจจุบัน คนในยุคโบราณไม่สามารถสร้างได้เป็นแน่!

อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่า อาจจะมีสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการที่ล้ำสมัยและถือกำเนิดเกิดมาก่อนที่จะมีอารยธรรมมนุษย์ ได้สร้างสิ่งแปลกประหลาดอันนี้ขึ้นมาอาจจะด้วยวัตถุประสงค์ใดก็มิทราบ และพวกเขาเหล่านี้คือผู้มีอารยธรรมสูงส่งที่มาจาก 
‘นอกโลก’ ก็เป็นได้

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2564

การทดลองสร้างมนุษย์ล่องหนจากเซลปลาหมึกกล้วย

การทดลองสร้างมนุษย์ล่องหน

ที่ผ่านมา เรื่องราวของมนุษย์ล่องหนถูกนำมาเล่าในภาพยนต์หลายเรื่อง ทั้งหนังแอ็กชั่นแฟนตาซีสุดมันส์อย่าง Fantastic Four จากค่ายมาร์เวลคอมมิกส์ โดยในเรื่องมีอินวิซิเบิลเกิร์ล หรือ ซูซาน สตอร์ม ริชาร์ดส ฮีโร่สาวผู้มากับพลังล่องหน

หรือจะเป็นหนังเรื่องเดอะ ลีค มหัศจรรย์ชนคนพิทักษ์โลก ที่มีมนุษย์ล่องหนนาม ร็อดนีย์ สกินเนอร์ นำแสดง โทนี่ เคอแรน แต่เวลาจะไปไหนมาไหนทีก็ต้องสวมแว่นกันแดดและนำครีมสีขาวมาทาหน้า เพื่อให้คู่สนทนามองเห็นรูปร่างหน้าตาของเขาได้

นอกจากหนังแฟนตาซีแล้ว มนุษย์ล่องหนเองก็เคยปรากฏตัวอยู่ในหนังแนวสยองขวัญอย่าง Invisible Man กำกับโดย ลีห์ วานเนล ที่เล่าเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่โดนมนุษย์ล่องหนตามรังควานจนทุกคนคิดว่าเธอเป็นบ้า แต่ไม่ว่าเรื่องราวของมนุษย์ล่องหนจะถูกนำเสนอออกมาในรูปแบบไหน เรื่องราวของพวกเขาเหล่านั้นก็ช่างดูน่าสนใจเสียเหลือเกิน จนบางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า ในโลกแห่งความจริงที่ไม่มีเวทมนต์หรือพลังวิเศษ เราจะมีโอกาสพัฒนาเทคโนโลยีที่เปลี่ยนคนเป็นมนุษย์ล่องหนได้จริงมั้ย

และวันนี้พวกเรา eduHUB จะขอพาท่านผู้ชมทุกท่านไปดูการทดลองสร้างมนุษย์ล่องหนกัน แต่มันจะมีหลักการยังไง 

การทดลองนี้จัดทำโดยทีมนักวิศวกรรมชีวการแพทย์ (Biomedical engineers) มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเออร์ไวน์ (Union Cycliste Internationale – UCI) ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการ Nature Communications ซึ่งเป็นวารสารที่รวบรวมงานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ

แต่ก่อนที่เราจะสามารถทำให้มนุษย์ทั้งคนล่องหนหายไปได้จริงๆ ทางทีมวิจัยได้เริ่มจากการทำให้เซลล์ของมนุษย์ให้ล่องหนก่อน ซึ่งการจะทำให้บางสิ่งบางอย่างล่องหนได้หรือไม่ มันขึ้นอยู่กับแสงที่เดินทางผ่านวัตถุนั้น ยิ่งวัตถุมีความโปร่งแสงมากเท่าไหร่ แสงก็จะยิ่งเดินทางผ่านได้มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งก็เท่ากับการล่องหน รวมถึงการกระเจิงของแสงที่เป็นการหักเหของรังสีที่เป็นเส้นตรงด้วย 

ในการทดลองนี้ ทีมวิจัยจึงได้พยายามควบคุมแสงจนในที่สุดก็สามารถทำให้เซลล์ไตของมนุษย์ธรรมดาโปร่งใสขึ้นมาจนดูราวกับว่ากำลังล่องหนได้ และถ้าอยากกลับมาเป็นเหมือนเดิม ทีมวิจัยก็ทำให้มันกลับมาทึบแสงเหมือนเดิมได้อีกด้วย

เทคนิคดังกล่าวนี้ไม่ใช่เวทมนต์ แต่เป็นศาสตร์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “พันธุวิศวกรรม” โดยเริ่มแรกทีมวิจัยได้สังเกตเห็นเซลล์ชนิดหนึ่งที่ควบคุมการส่องผ่าน หักเห หรือสะท้อนของแสงในตัวของปลาหมึกกล้วย เซลล์ที่ว่านี้จะผลิตโปรตีนชื่อ “รีเฟล็กติน” (Reflectin) ออกมา ทำให้หมึกกล้วยสามารถเปลี่ยนสีหรือทำตัวเองให้ใสจนโปร่งแสงเพื่อพรางตัวในท้องทะเลได้ 

ด้วยไอเดียจากหมึกกล้วยนี้เองที่ทีมวิจัยได้นำมาต่อยอดและทดลองใช้กับเซลล์มนุษย์ โดยการผ่าตัดพันธุกรรมของเซลล์ไตให้แสดงยีนที่ผลิตโปรตีนรีเฟล็กตินออกมา จนในที่สุดเซลล์ไตก็สามารถผลิตโปรตีนรีเฟล็กตินได้เหมือนกับหมึกกล้วยไม่มีผิดเพี้ยน ซึ่งโปรตีนที่ว่านี้ก็ทำให้เซลล์ล่องหนได้

สำหรับคนที่กังวลว่าการล่องหนของเซลล์ไตนี้จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเจ้าของไตในระยะยาวหรือไม่ เราก็ต้องขอยอมรับกันตามตรงว่าการทดลองนี้ยังไปไม่ถึงจุดนั้น เพราะเซลล์ไตที่นำมาทดลองไม่ได้อยู่ในร่างกายของคนจริงๆ แต่เป็นเซลล์ที่แยกนำมาเพาะเลี้ยงบนจานทดลองต่างหาก เพื่อให้ง่ายต่อการทดลองและติดตามผล

นอกจากนี้ งานวิจัยยังระบุอีกด้วยว่า เราสามารถควบคุมการล่องหนของเซลล์ไตได้ผ่านการควบคุมความเข้มข้นของเกลือ ถ้าเราอยากให้เซลล์ที่ผลิตโปรตีนรีเฟล็กตินทึบแสง เราก็แค่เพิ่มปริมาณเกลือให้มากขึ้น เมื่อโมเลกุลของโปรตีนรีเฟล็กตินได้รับเกลือเข้าไปมากๆ มันก็จะขยายใหญ่ขึ้น ทำให้แสงที่เดินทางมาตกกระทบกระเจิงออกไปมากขึ้น เซลล์ไตจึงมีความทึบแสงมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม

ถ้าเราอยากให้เซลล์ล่องหน เราก็ลดปริมาณเกลือภายในเซลล์ลง ยิ่งเกลือน้อยเท่าไหร่ โปรตีนรีเฟล็กตินก็ยิ่งหดเล็ก ทำให้เซลล์โปร่งใส่ขึ้นจนเหมือนล่องหนไปเลย

นับว่าเป็นเรื่องที่สุดยอดมากที่เราสามารถควบคุมแสงและทำให้เซลล์ล่องหนได้อย่างใจนึก แต่ทั้งนี้การจะทำให้คนทั้งคนล่องหนหายไปได้เหมือนในภาพยนตร์อาจจะต้องผ่านการศึกษาเพิ่มเติมมากกว่านี้ เพราะการในร่างกายของมนุษย์มีปัจจัยและข้อจำกัดหลายอย่างที่ซับซ้อนกว่าการทำเซลล์ล่องหนในจานทดลอง

แต่อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นก้าวแรกที่สำคัญสู่ความฝันที่จะสร้างมนุษย์ล่องหนของจริง ซึ่งผลจากการทำลองนี้สามารถนำมาเป็นแรงบันดาลใจและต่อยอดไปสู่การทดลองอื่นๆ ต่อไปอีกได้ในอนาคต

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2564

นักวิทย์ค้นพบสาเหตุ ทำไมอวัยวะเพศชายของมนุษย์จึงไม่มีกระดูก


ค้นหา
Custom Search
นักวิทย์ค้นพบสาเหตุ ทำไมอวัยวะเพศชายของมนุษย์จึงไม่มีกระดูก?
     
ความสัมพันธ์แบบผัวเดียวเมียเดียวเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กระดูกภายในอวัยวะเพศชายหายไป เนื่องจากไม่ต้องมีเซ็กส์มากครั้ง หรือแข่งขันกับตัวผู้อื่นๆ

สัตว์ในกลุ่มไพรเมต และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำนวนมากมีกระดูกอยู่ในอวัยวะเพศชาย หรือที่เรียกว่า Bacula แต่สำหรับมนุษย์อย่างเราๆนั้นไม่มี ซึ่งเหตุผลที่ทำให้เราแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆก็เพราะว่า มนุษย์นั้นไม่ได้มีเซ็กส์มากนัก นักวิจัยกล่าว

ในรายงานการวิจัยที่ตีพิพม์ลงใน Proceedings of Royal Society B ช่วงสัปดาห์นี้ นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าประวัติศาสตร์ของการมีกระดูกในอวัยวะเพศชายของสัตว์ต่างๆนั้นเริ่มต้นที่ราว 145 -95 ล้านปีก่อน นั่นหมายความว่าบรรพบรุษของไพรเมต และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขณะนั้นมีกระดูกอวัยวะเพศชาย

แต่ในบรรดาสัตว์กลุ่มไพรเมตด้วยกันแล้ว ก็ยังมีพฤติกรรมทางเพศที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นชิมแปนซี และโบโนโบ ล้วนมีชีวิตเซ็กส์ที่แตกต่างจากมนุษย์ นั่นคือพวกมันมีความสัมพันธ์แบบหลายผัวหลายเมีย แต่มนุษย์ไม่ใช่เช่นนั้น และพฤติกรรมแบบหลายผัวผลายเมียนี้เองที่ทำให้พวกมันมีกระดูกในอวัยวะเพศชาย เพราะพวกมันมีเซ็กส์มาก

อย่างไรก็ตามบรรดานักวิทยาศาสตร์เองยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่ากระดูกในอวัยวะเพศชายนั้นมีหน้าที่อะไร หนึ่งในทฤษฎีกล่าวว่าช่วยให้พวกมันมีเซ็กส์ได้นานขึ้น เนื่องจากอวัยวะสามารถแข็งตัวได้เองด้วยกระดูก (สำหรับมนุษย์แล้ว อวัยวะเพศชายจะแข็งตัวจากเลือดที่สูบฉีดเข้าไปเลี้ยง)
และหลังการเฝ้าติดตามเกี่ยวกับการวิวัฒนาการของกระดูกในอวัยวะเพศชาย นักวิทยาศาสตร์พบว่า กลุ่มสปีชีส์ที่มีพฤติกรรมแบบหลายผัวหลายเมียจะมีชิ้นส่วนกระดูกอวัยวะเพศชายที่หนากว่า สัตว์สปีชีส์แบบผัวเดียวเมียเดียว การค้นพบนี้สนับสนุนไอเดียที่ว่าเจ้ากระดูกชิ้นดังกล่าวนั้นมีไว้เพื่อสำหรับสิ่งมีชีวิตที่ต้องมีเซ็กส์มากๆ

นอกจากนั้นความแตกต่างของการมีพฤติกรรมแบบหลายหัวหลายเมีย หรือผัวเดียวเมียเดียวในสัตว์นั้น หากเป็นความสัมพันธ์แบบคู่ครอง แน่นอนว่าความไว้ใจคือกุญแจสำคัญ และเราก็สามารถแน่ใจได้ว่าคู่ของเรานั้นคงไมได้ไปตระเวนมีเซ็กส์กับคนอื่นๆ ในขณะที่ความสัมพันธ์แบบหลายผัวหลายเมียนั้นตรงกันข้าม เพราะสังคมของพวกเขาเต็มไปด้วยการแข่งขัน ดังนั้นการมีเซ็กส์สำหรับสิ่งมีชีวิตเพศผู้ จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่ช่วยให้ DNA ของมันสามารถส่งต่อไปยังตัวเมียตัวอื่นๆในฝูงได้

ทั้งนี้ในกลุ่มสัตว์ที่มีความสัมพันธ์แบบหลายผัวหลายเมีย นักวิทย์พบอีกว่าอัณฑะของพวกมันยังมีขนาดใหญ่อีกด้วย เช่นในลิงชิมแปนซีเพศผู้ อัณฑะของพวกมันนั้นมีขนาดพอๆกับมันสมองเลยทีเดียว เนื่องจากร่างกายของพวกมันต้องผลิตสเปิร์มจำนวนมาก ในการส่งต่อไปยังตัวเมียอีกหลายตัว

ซึ่งสำหรับมนุษย์นั้น อัณฑะของเราๆมีขนาดเล็กกว่ามาก นั่นก็เป็นเพราะเราไม่ได้มีความสัมพันธ์กับตัวเมียอื่นๆในช่วงเวลาเดียวกัน แบบเดียวกับชิงแปนซีนั่นเอง 

ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่าการวิวัฒนาการความสัมพันธ์แบบคู่สมรสในไพรเมตที่วิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์นั้น เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้กระดูกภายในอวัยวะเพศชายของพวกเราหายไป

วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2564

เด็กตาดำ Black Eyed Children


เด็กตาดำ
(Black Eyed Children)
เป็นชื่อของสิ่งลึกลับ รูปร่างเหมือนมนุษย์วัยเด็กหรือวัยรุ่นที่มีอายุตั้งแต่ 6-16 ปี มีผิวขาวซีดเซียว และอาจพบว่ามีรอยช้ำหรือรอยเส้นเลือดปรากฏบนผิวหนังชัดเจน ดูแล้วคล้ายกับศพที่ถูกฝังไปเป็นระยะเวลาไม่นาน จุดสำคัญที่สังเกตได้ง่ายที่สุด คือเด็กเหล่านี้จะมีดวงตาสีดำสนิท 

ไม่ว่าจะเป็นที่ตาดำ ม่านตา หรือตาขาว ทุกบริเวณของลูกตาเป็นสีดำสนิท

👉โดยมีตำนานเล่าขานกันถึงเด็กตาดำจากการเผยแพร่ครั้งแรกบนอินเทอร์เน็ตเมื่อช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1990
ไบรอัน เบเธล นักข่าวจากรัฐเทกซัส ได้ส่งอีเมลเรื่องผีให้กับเว็บไซต์สยองขวัญแห่งหนึ่ง
โดยเป็นเรื่องราวของเด็กตาดำ ที่เขาเคยพบเจอกับตัวเองจังๆ

😈เรื่องราวของเด็กตาดำ
ที่ไบรอันได้พบเจอนั้น
เขาเล่าว่า เขาพบเด็ก 2 คนโผล่มาใกล้ๆ กับรถของเขา และขอติดรถขึ้นไปด้วย ทีแรกไบรอันไม่เอะใจอะไร แต่เมื่อสังเกตดูดีๆ ก็พบว่าเด็กทั้ง 2 คนนั้นมีตาสีดำสนิท และพวกเขาเริ่มคุกคามไบรอันด้วยคำพูด
เดิมซ้ำๆ
นั่นคือขอให้ไบรอันเชิญพวกเขาขึ้นรถ จนดูเหมือนเด็กเหล่านั้นจะหมดความอดทน จากน้ำเสียงเรียบๆ แปรเปลี่ยนเป็นเสียงตะโกนดังสนั่น ไบรอันตกใจมากจึงเหยียบคันเร่งสุดแรงเกิดแล้วขับรถหนีไปทันที!

หลังจากนั้น เรื่องราวของเด็ก
ตาดำ ก็มักจะกลายเป็นประเด็นร้อนบนโลกอินเทอร์เน็ต
โดยเล่ากันว่า เด็กตาดำสามารถปรากฏตัวให้เห็นได้ทุกช่วงเวลาของวัน มักจะพบตามเมืองแถบทะเลทรายที่ห่างไกล อาจพบพวกเขากำลังร้องเพลงหรือเล่นสนุกตาม
ประสาเด็กๆ นอกจากจะมีตาสีดำสนิทไม่เหมือนเด็กทั่วไปแล้ว 
เด็กตาดำยังมีพฤติกรรมไม่เหมือนเด็กทั่วไป

โดยจากรายงานของผู้ที่เคยเผชิญหน้ากับพวกเขา ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เด็กเหล่านี้มีน้ำเสียงเหมือนผู้ใหญ่ ไม่ใช่เสียงสูงเล็กเหมือนเด็กทั่วไป และมักจะพูดจาด้วยสำบัดสำนวนแบบคนมีอายุเหมือนคนแก่ชรา
😬บางครั้งอาจพบเด็กเหล่านี้ได้ที่หน้าประตูบ้าน โดยพวกเขาจะมาเคาะประตูเป็นจังหวะถี่ๆ และหากเจ้าของบ้านเปิดประตูเพื่อพูดคุยกับเด็กเหล่านี้ พวกเขาจะออกคำสั่งให้เจ้าของบ้านพาพวกเขาเข้าบ้าน เช่น อาจจะพูดว่า กรุณาเชิญพวกเราเข้าบ้านด้วย ขอบคุณ หรืออาจอ้างเหตุผลอย่าง กรุณาเชิญพวกเราเข้าบ้านด้วย 

😠พวกเราต้องการใช้โทรศัพท์
แค่ไม่นาน ขอบคุณ
เห็นได้ชัดว่าเด็กตาดำเหล่านี้
ไม่สามารถเข้าบ้านผู้อื่นได้ด้วยตัวเอง ต้องให้เจ้าของบ้านเชิญเข้าบ้านก่อนเท่านั้น เด็กตาดำจะขอร้องให้เจ้าบ้านเชื้อเชิญพวกเขาด้วยแรงกดดันอันมหาศาล แน่นอนว่าเจ้าของบ้านไม่ใจกล้าพอที่จะเชิญเด็กประหลาดเหล่านี้ให้เข้าบ้านมาเป็นแน่แท้
แต่หากมีคนที่ยังใจกล้าพอที่จะเชิญเด็กตาดำให้เข้าบ้านหรือขึ้นรถ ก็เตรียมตัวพบกับเรื่องที่คาดไม่ถึงได้เลย

😨จากการเล่าเรื่องทางวิทยุ
บนอินเทอร์เน็ตรายการ
Dream Land ของอเมริกา หญิงรายหนึ่งขับรถกลับบ้านหลังจากรับลูกชายจากโรงเรียน แต่แล้วจู่ๆ เธอก็สังเกตเห็นเด็กน้อยคนหนึ่ง นั่งอยู่เคียงข้างกับลูกชายของเธอที่เบาะหลัง เด็กคนดังกล่าวมีดวงตาสีดำสนิท กำลังจ้องมองมาที่กระจกมองหลัง หญิงคนดังกล่าวตกใจแทบสิ้นสติ เธอจอดรถที่ปั๊มน้ำมันแล้วอุ้มลูกชายลงจากรถ เปิดประตูทุกบานของรถทิ้งไว้ 
ก่อนจะวิ่งไปบอกพนักงานแคชเชียร์ในมินิมาร์ทว่า มีคนอยู่บนรถของฉัน แต่เมื่อพนักงานมาดูที่รถให้ ก็ไม่พบใครอยู่บนรถเลยแม้แต่คนเดียว หญิงสาวตกใจกลัวและตัวสั่นงันงก เธอโทรศัพท์หาสามีและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง สามีบอกว่าเขาเองก็กำลังขับรถอยู่ไม่ไกล ให้เธอขับรถมาพบกันที่กลางทาง ถัดออกไปแค่ไม่กี่กิโลเมตร หญิงสาวพบสามีของตัวเองประสบอุบัติเหตุรถชน ทุกอย่างดูสับสนอลหม่านไปหมด เธอถามลูกชายว่า เด็กคนที่ขึ้นรถมากับลูกเป็นใคร?
ลูกชายของเธอบอกว่า ผมชวนเขาขึ้นรถมาครับ เพราะเขาขอให้ผมเชิญเขาขึ้นรถหญิงสาวจึงได้กระจ่างว่า เธอเจอดีเข้าแล้ว

โดยสำนักข่าวชื่อดังอย่างหนังสือพิมพ์ Daily Star ตีข่าวเรื่องราวการพบเห็นเด็กตาดำรอบโลก โดยมีการตีพิมพ์เรื่องของเด็กตาดำถึง 3 ฉบับติดกันบนหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ ตอกย้ำความสะพรึงกลัว ของชาวตะวันตกที่มีต่อเด็กตาดำยิ่งขึ้นไปอีก

พบ ซากแมมมอธพบที่ไซบีเรียชี้ มนุษย์อยู่ขั้วโลกเหนือนานกว่าที่คิด



ซากแมมมอธพบที่ไซบีเรียชี้ มนุษย์อยู่ขั้วโลกเหนือนานกว่าที่คิด
สํานักข่าวเอเอฟพีเผยแพร่ภาพขณะที่นายเซอร์เกย์ กอร์บูนอฟ นักวิจัยทำการตรวจสอบซากแมมมอธขนยาว บริเวณชายฝั่งของอ่าวเยนีเซย์ ตอนกลางของอาร์กติก ไซบีเรีย 
ซึ่งนายอเล็กซี ทีโคนอฟ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์สัตววิทยา ของรัสเซีย นำออกเผยแพร่เมื่อวันที่ 14 มกราคม โดยวารสารไซน์
รายงานว่า ซากฟอสซิลของแมมมอธขนยาวที่ถูกแช่แข็งดังกล่าว มีร่องรอยของการถูกหอกแทงตามตัว ซึ่งเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ให้เห็นว่า เมื่อ 45,000 ปี 
ก่อนที่ยังมีแมมมอธอาศัยอยู่บนโลกที่ ขั้วโลกเหนือนั้น มีมนุษย์อยู่อาศัย ในบริเวณดังกล่าวแล้ว 
โดยก่อนหน้านี้ มีหลักฐานที่พบว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่บริเวณขั้วโลกเหลือ ที่เก่าแก่ที่สุด คือเมื่อราว 30,000 ปีก่อน
แต่การค้นพบครั้งนี้ย่อมเป็นหลักฐานที่ให้เห็นว่า มนุษย์อาศัยอยู่บริเวณขั้วโลกเหนือมานานกว่าที่เคยรู้กันมา

รายการบล็อกของฉัน