Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2564

นักวิทย์ค้นพบสาเหตุ ทำไมอวัยวะเพศชายของมนุษย์จึงไม่มีกระดูก


ค้นหา
Custom Search
นักวิทย์ค้นพบสาเหตุ ทำไมอวัยวะเพศชายของมนุษย์จึงไม่มีกระดูก?
     
ความสัมพันธ์แบบผัวเดียวเมียเดียวเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กระดูกภายในอวัยวะเพศชายหายไป เนื่องจากไม่ต้องมีเซ็กส์มากครั้ง หรือแข่งขันกับตัวผู้อื่นๆ

สัตว์ในกลุ่มไพรเมต และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำนวนมากมีกระดูกอยู่ในอวัยวะเพศชาย หรือที่เรียกว่า Bacula แต่สำหรับมนุษย์อย่างเราๆนั้นไม่มี ซึ่งเหตุผลที่ทำให้เราแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆก็เพราะว่า มนุษย์นั้นไม่ได้มีเซ็กส์มากนัก นักวิจัยกล่าว

ในรายงานการวิจัยที่ตีพิพม์ลงใน Proceedings of Royal Society B ช่วงสัปดาห์นี้ นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าประวัติศาสตร์ของการมีกระดูกในอวัยวะเพศชายของสัตว์ต่างๆนั้นเริ่มต้นที่ราว 145 -95 ล้านปีก่อน นั่นหมายความว่าบรรพบรุษของไพรเมต และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขณะนั้นมีกระดูกอวัยวะเพศชาย

แต่ในบรรดาสัตว์กลุ่มไพรเมตด้วยกันแล้ว ก็ยังมีพฤติกรรมทางเพศที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นชิมแปนซี และโบโนโบ ล้วนมีชีวิตเซ็กส์ที่แตกต่างจากมนุษย์ นั่นคือพวกมันมีความสัมพันธ์แบบหลายผัวหลายเมีย แต่มนุษย์ไม่ใช่เช่นนั้น และพฤติกรรมแบบหลายผัวผลายเมียนี้เองที่ทำให้พวกมันมีกระดูกในอวัยวะเพศชาย เพราะพวกมันมีเซ็กส์มาก

อย่างไรก็ตามบรรดานักวิทยาศาสตร์เองยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่ากระดูกในอวัยวะเพศชายนั้นมีหน้าที่อะไร หนึ่งในทฤษฎีกล่าวว่าช่วยให้พวกมันมีเซ็กส์ได้นานขึ้น เนื่องจากอวัยวะสามารถแข็งตัวได้เองด้วยกระดูก (สำหรับมนุษย์แล้ว อวัยวะเพศชายจะแข็งตัวจากเลือดที่สูบฉีดเข้าไปเลี้ยง)
และหลังการเฝ้าติดตามเกี่ยวกับการวิวัฒนาการของกระดูกในอวัยวะเพศชาย นักวิทยาศาสตร์พบว่า กลุ่มสปีชีส์ที่มีพฤติกรรมแบบหลายผัวหลายเมียจะมีชิ้นส่วนกระดูกอวัยวะเพศชายที่หนากว่า สัตว์สปีชีส์แบบผัวเดียวเมียเดียว การค้นพบนี้สนับสนุนไอเดียที่ว่าเจ้ากระดูกชิ้นดังกล่าวนั้นมีไว้เพื่อสำหรับสิ่งมีชีวิตที่ต้องมีเซ็กส์มากๆ

นอกจากนั้นความแตกต่างของการมีพฤติกรรมแบบหลายหัวหลายเมีย หรือผัวเดียวเมียเดียวในสัตว์นั้น หากเป็นความสัมพันธ์แบบคู่ครอง แน่นอนว่าความไว้ใจคือกุญแจสำคัญ และเราก็สามารถแน่ใจได้ว่าคู่ของเรานั้นคงไมได้ไปตระเวนมีเซ็กส์กับคนอื่นๆ ในขณะที่ความสัมพันธ์แบบหลายผัวหลายเมียนั้นตรงกันข้าม เพราะสังคมของพวกเขาเต็มไปด้วยการแข่งขัน ดังนั้นการมีเซ็กส์สำหรับสิ่งมีชีวิตเพศผู้ จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่ช่วยให้ DNA ของมันสามารถส่งต่อไปยังตัวเมียตัวอื่นๆในฝูงได้

ทั้งนี้ในกลุ่มสัตว์ที่มีความสัมพันธ์แบบหลายผัวหลายเมีย นักวิทย์พบอีกว่าอัณฑะของพวกมันยังมีขนาดใหญ่อีกด้วย เช่นในลิงชิมแปนซีเพศผู้ อัณฑะของพวกมันนั้นมีขนาดพอๆกับมันสมองเลยทีเดียว เนื่องจากร่างกายของพวกมันต้องผลิตสเปิร์มจำนวนมาก ในการส่งต่อไปยังตัวเมียอีกหลายตัว

ซึ่งสำหรับมนุษย์นั้น อัณฑะของเราๆมีขนาดเล็กกว่ามาก นั่นก็เป็นเพราะเราไม่ได้มีความสัมพันธ์กับตัวเมียอื่นๆในช่วงเวลาเดียวกัน แบบเดียวกับชิงแปนซีนั่นเอง 

ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่าการวิวัฒนาการความสัมพันธ์แบบคู่สมรสในไพรเมตที่วิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์นั้น เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้กระดูกภายในอวัยวะเพศชายของพวกเราหายไป

วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2564

เด็กตาดำ Black Eyed Children


เด็กตาดำ
(Black Eyed Children)
เป็นชื่อของสิ่งลึกลับ รูปร่างเหมือนมนุษย์วัยเด็กหรือวัยรุ่นที่มีอายุตั้งแต่ 6-16 ปี มีผิวขาวซีดเซียว และอาจพบว่ามีรอยช้ำหรือรอยเส้นเลือดปรากฏบนผิวหนังชัดเจน ดูแล้วคล้ายกับศพที่ถูกฝังไปเป็นระยะเวลาไม่นาน จุดสำคัญที่สังเกตได้ง่ายที่สุด คือเด็กเหล่านี้จะมีดวงตาสีดำสนิท 

ไม่ว่าจะเป็นที่ตาดำ ม่านตา หรือตาขาว ทุกบริเวณของลูกตาเป็นสีดำสนิท

👉โดยมีตำนานเล่าขานกันถึงเด็กตาดำจากการเผยแพร่ครั้งแรกบนอินเทอร์เน็ตเมื่อช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1990
ไบรอัน เบเธล นักข่าวจากรัฐเทกซัส ได้ส่งอีเมลเรื่องผีให้กับเว็บไซต์สยองขวัญแห่งหนึ่ง
โดยเป็นเรื่องราวของเด็กตาดำ ที่เขาเคยพบเจอกับตัวเองจังๆ

😈เรื่องราวของเด็กตาดำ
ที่ไบรอันได้พบเจอนั้น
เขาเล่าว่า เขาพบเด็ก 2 คนโผล่มาใกล้ๆ กับรถของเขา และขอติดรถขึ้นไปด้วย ทีแรกไบรอันไม่เอะใจอะไร แต่เมื่อสังเกตดูดีๆ ก็พบว่าเด็กทั้ง 2 คนนั้นมีตาสีดำสนิท และพวกเขาเริ่มคุกคามไบรอันด้วยคำพูด
เดิมซ้ำๆ
นั่นคือขอให้ไบรอันเชิญพวกเขาขึ้นรถ จนดูเหมือนเด็กเหล่านั้นจะหมดความอดทน จากน้ำเสียงเรียบๆ แปรเปลี่ยนเป็นเสียงตะโกนดังสนั่น ไบรอันตกใจมากจึงเหยียบคันเร่งสุดแรงเกิดแล้วขับรถหนีไปทันที!

หลังจากนั้น เรื่องราวของเด็ก
ตาดำ ก็มักจะกลายเป็นประเด็นร้อนบนโลกอินเทอร์เน็ต
โดยเล่ากันว่า เด็กตาดำสามารถปรากฏตัวให้เห็นได้ทุกช่วงเวลาของวัน มักจะพบตามเมืองแถบทะเลทรายที่ห่างไกล อาจพบพวกเขากำลังร้องเพลงหรือเล่นสนุกตาม
ประสาเด็กๆ นอกจากจะมีตาสีดำสนิทไม่เหมือนเด็กทั่วไปแล้ว 
เด็กตาดำยังมีพฤติกรรมไม่เหมือนเด็กทั่วไป

โดยจากรายงานของผู้ที่เคยเผชิญหน้ากับพวกเขา ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เด็กเหล่านี้มีน้ำเสียงเหมือนผู้ใหญ่ ไม่ใช่เสียงสูงเล็กเหมือนเด็กทั่วไป และมักจะพูดจาด้วยสำบัดสำนวนแบบคนมีอายุเหมือนคนแก่ชรา
😬บางครั้งอาจพบเด็กเหล่านี้ได้ที่หน้าประตูบ้าน โดยพวกเขาจะมาเคาะประตูเป็นจังหวะถี่ๆ และหากเจ้าของบ้านเปิดประตูเพื่อพูดคุยกับเด็กเหล่านี้ พวกเขาจะออกคำสั่งให้เจ้าของบ้านพาพวกเขาเข้าบ้าน เช่น อาจจะพูดว่า กรุณาเชิญพวกเราเข้าบ้านด้วย ขอบคุณ หรืออาจอ้างเหตุผลอย่าง กรุณาเชิญพวกเราเข้าบ้านด้วย 

😠พวกเราต้องการใช้โทรศัพท์
แค่ไม่นาน ขอบคุณ
เห็นได้ชัดว่าเด็กตาดำเหล่านี้
ไม่สามารถเข้าบ้านผู้อื่นได้ด้วยตัวเอง ต้องให้เจ้าของบ้านเชิญเข้าบ้านก่อนเท่านั้น เด็กตาดำจะขอร้องให้เจ้าบ้านเชื้อเชิญพวกเขาด้วยแรงกดดันอันมหาศาล แน่นอนว่าเจ้าของบ้านไม่ใจกล้าพอที่จะเชิญเด็กประหลาดเหล่านี้ให้เข้าบ้านมาเป็นแน่แท้
แต่หากมีคนที่ยังใจกล้าพอที่จะเชิญเด็กตาดำให้เข้าบ้านหรือขึ้นรถ ก็เตรียมตัวพบกับเรื่องที่คาดไม่ถึงได้เลย

😨จากการเล่าเรื่องทางวิทยุ
บนอินเทอร์เน็ตรายการ
Dream Land ของอเมริกา หญิงรายหนึ่งขับรถกลับบ้านหลังจากรับลูกชายจากโรงเรียน แต่แล้วจู่ๆ เธอก็สังเกตเห็นเด็กน้อยคนหนึ่ง นั่งอยู่เคียงข้างกับลูกชายของเธอที่เบาะหลัง เด็กคนดังกล่าวมีดวงตาสีดำสนิท กำลังจ้องมองมาที่กระจกมองหลัง หญิงคนดังกล่าวตกใจแทบสิ้นสติ เธอจอดรถที่ปั๊มน้ำมันแล้วอุ้มลูกชายลงจากรถ เปิดประตูทุกบานของรถทิ้งไว้ 
ก่อนจะวิ่งไปบอกพนักงานแคชเชียร์ในมินิมาร์ทว่า มีคนอยู่บนรถของฉัน แต่เมื่อพนักงานมาดูที่รถให้ ก็ไม่พบใครอยู่บนรถเลยแม้แต่คนเดียว หญิงสาวตกใจกลัวและตัวสั่นงันงก เธอโทรศัพท์หาสามีและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง สามีบอกว่าเขาเองก็กำลังขับรถอยู่ไม่ไกล ให้เธอขับรถมาพบกันที่กลางทาง ถัดออกไปแค่ไม่กี่กิโลเมตร หญิงสาวพบสามีของตัวเองประสบอุบัติเหตุรถชน ทุกอย่างดูสับสนอลหม่านไปหมด เธอถามลูกชายว่า เด็กคนที่ขึ้นรถมากับลูกเป็นใคร?
ลูกชายของเธอบอกว่า ผมชวนเขาขึ้นรถมาครับ เพราะเขาขอให้ผมเชิญเขาขึ้นรถหญิงสาวจึงได้กระจ่างว่า เธอเจอดีเข้าแล้ว

โดยสำนักข่าวชื่อดังอย่างหนังสือพิมพ์ Daily Star ตีข่าวเรื่องราวการพบเห็นเด็กตาดำรอบโลก โดยมีการตีพิมพ์เรื่องของเด็กตาดำถึง 3 ฉบับติดกันบนหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ ตอกย้ำความสะพรึงกลัว ของชาวตะวันตกที่มีต่อเด็กตาดำยิ่งขึ้นไปอีก

พบ ซากแมมมอธพบที่ไซบีเรียชี้ มนุษย์อยู่ขั้วโลกเหนือนานกว่าที่คิด



ซากแมมมอธพบที่ไซบีเรียชี้ มนุษย์อยู่ขั้วโลกเหนือนานกว่าที่คิด
สํานักข่าวเอเอฟพีเผยแพร่ภาพขณะที่นายเซอร์เกย์ กอร์บูนอฟ นักวิจัยทำการตรวจสอบซากแมมมอธขนยาว บริเวณชายฝั่งของอ่าวเยนีเซย์ ตอนกลางของอาร์กติก ไซบีเรีย 
ซึ่งนายอเล็กซี ทีโคนอฟ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์สัตววิทยา ของรัสเซีย นำออกเผยแพร่เมื่อวันที่ 14 มกราคม โดยวารสารไซน์
รายงานว่า ซากฟอสซิลของแมมมอธขนยาวที่ถูกแช่แข็งดังกล่าว มีร่องรอยของการถูกหอกแทงตามตัว ซึ่งเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ให้เห็นว่า เมื่อ 45,000 ปี 
ก่อนที่ยังมีแมมมอธอาศัยอยู่บนโลกที่ ขั้วโลกเหนือนั้น มีมนุษย์อยู่อาศัย ในบริเวณดังกล่าวแล้ว 
โดยก่อนหน้านี้ มีหลักฐานที่พบว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่บริเวณขั้วโลกเหลือ ที่เก่าแก่ที่สุด คือเมื่อราว 30,000 ปีก่อน
แต่การค้นพบครั้งนี้ย่อมเป็นหลักฐานที่ให้เห็นว่า มนุษย์อาศัยอยู่บริเวณขั้วโลกเหนือมานานกว่าที่เคยรู้กันมา

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2564

นักวิจัยพบ ศีรษะล้านก่อนวัยสัมพันธ์กับ ส่วนสูงและความเสี่ยง มะเร็งต่อมลูกหมาก


นักวิจัยพบ 'ศีรษะล้านก่อนวัย' สัมพันธ์กับ 'ส่วนสูง' และความเสี่ยง 'มะเร็งต่อมลูกหมาก
A new study has found that males of short stature are at increased risk of losing their hair prematurely, in addition to a number of other health conditions.

นักวิจัยที่ University of Bonn ในเยอรมนี ศึกษาวิเคราะห์ผู้ชายรูปร่างเตี้ยกว่า 20,000 คน ทั้งในสหรัฐฯ ยุโรป และออสเตรเลีย
และพบว่าราวครึ่งหนึ่งของกลุ่มที่ศึกษานี้ มีหน่วยพันธุกรรมที่ทำให้ศีรษะล้านก่อนวัยปกติได้ คือก่อนที่อายุจะย่างเข้าช่วง 50 ปี

นอกจากนั้น ยีนดังกล่าวยังส่งผลต่อการแตกเนื้อหนุ่มเร็วกว่าปกติ และเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมาก โรคพาร์กินสัน รวมทั้งโรคหัวใจด้วย
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่าการพบหน่วยพันธุกรรมดังกล่าวอาจไม่ใช่เครื่องกำหนดท้ายสุด เพราะหากสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวที่มีรูปร่างเตี้ย ไม่มีปัญหาศีรษะล้านก่อนวัยเรื่องนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น

และว่าการศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างความสูง ผมร่วงก่อนวัย รวมทั้งปัจจัยความเสี่ยงต่อสุขภาพอื่นๆ ยังเป็นเพียงแค่ขั้นแรกเท่านั้น

วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2564

เรื่องลึกลับ บทรักพิสดารของพระนางซูสีไทเฮาฉือสี่ไท่โฮ่วแห่งราชวงศ์ชิง


       แบ็กเฮาวส์วัย 32 ร่วมเตียงกับไทเฮาชันษา 70 ถึงสองครั้งในคืนเดียวDécadence Mandchoue บันทึกความทรงจำที่เผยบทรักพิสดารของพระนางซูสีไทเฮา
(ฉือสี่ไท่โฮ่ว)แห่งราชวงศ์ชิง 

โดยเซอร์เอ็ดมุนด์ ทรีลอว์นี แบ็กเฮาวส์ (Sir Edmund Trelawny Backhouse) ได้รับการกล่าวขวัญอีกครั้ง เมื่อบริษัทในฮ่องกงได้นำ Décadence Mandchoue ฉบับภาษาจีนและฉบับภาษาอังกฤษออกวางแผงในดินแดนเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา สำหรับฉบับพากษ์จีนมีชื่อว่า ไทเฮากับข้าพเจ้า 《太后與我》 จัดพิมพ์โดย New Century Press แห่งฮ่องกง
      
       แบ็กเฮาวส์ได้เขียน Décadence Mandchoue เมื่อปี 1943 โดยผู้เขียนตั้งใจให้เป็นบันทึกความทรงจำความสัมพันธ์สวาทกับซูสีไทเฮา เนื้อเรื่องมีบทบรรยายฉากรักพิสดารบนเตียงระหว่างผู้เขียนเซอร์แบ็กเฮาวส์ กับพระนางซูสีไทเฮา และที่น่าตกตะลึงไปกว่านั้นก็คือ เขาได้พรรณนาความรักระหว่างชายภายในราชสำนักชิง ความสัมพันธ์รักร่วมเพศระหว่างเขากับบรรดาเชื้อพระวงศ์ รวมทั้งขุนนางชั้นสูง เซอร์แบ็กเฮาวส์ประกาศตัวว่าเป็นพวกรักร่วมเพศ และมีความสัมพันธ์กับหญิงคนเดียวคือ พระนางซูสีไทเฮา
      
       นอกจากนี้ นายแบ็กเฮาวส์ ยังได้ฉีกตำราประวัติศาสตร์ทั่วไป โดยเปิดเผยว่าซูสีไทเฮาสิ้นพระชนม์เพราะถูกสังหารด้วยกระสุนจากกระบอกปืนของแม่ทัพหยวน ซื่อไข่
        

       แบ็กเฮาวส์เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1873 เป็นบุตรชายคนโตของตระกูลเควกเกอร์ (Quaker) อันเก่าแก่และมีชื่อเสียง หลังจากที่เขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ในปี ค.ศ. 1898 ก็ได้เดินทางมายังกรุงปักกิ่ง เขาเชี่ยวชาญทั้งภาษาจีน ภาษาแมนจู และภาษามองโกล ได้ทำงานแปลและเป็นล่ามให้กับกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษและหนังสือพิมพ์ เดอะ ไทมส์แห่งลอนดอน 
แบ็กเฮาวส์เป็นผู้เชี่ยวชาญ
ลัทธิบุรพนิยม(Orientalism) หนังสือเกี่ยวกับเรื่องจีนของเขาติดอันดับหนังสือขายดี ได้แก่ China under the Empress Dowager (1910) โดยหนังสือเล่มนี้เป็นงานเขียนร่วมกับนายแบลนด์ (J.O.P. Bland) ผู้สื่อข่าวชาวอังกฤษร่วมค่ายหนังสือพิมพ์เดียวกับเขา หลังจากนั้นทั้งสองยังได้เขียนงานร่วมกัน คือ Annals and Memoirs of the Court of Peking (1914)
      
       แบ็กเฮาวส์ได้เขียนบันทึกความทรงจำ ชื่อว่า Décadence Mandchoue เผยถึงสัมพันธ์สวาทในสำนักชิง โดยนาย Reinhard Hoeppli นายแพทย์ชาวสวิสที่สนิทสนมกับเขารบเร้าให้เขาเขียนบันทึกความจำอันน่าตื่นตะลึงในสำนักชิงที่ท่านเซอร์ฯได้ประสบมาไว้ หลายเดือนต่อมาแบ็กเฮาวส์ก็ถึงแก่อนิจกรรม(เดือนมกราคม ค.ศ. 1944) ด้วยโรคร้าย ที่กรุงปักกิ่ง ในวัย 71 ปี

   ในบทนำของบันทึกฯ แบ็กเฮาวส์ได้ใช้วลี "ความรักที่ทำให้ดวงเนตรของผู้คนมืดบอดนี้ดั่งมายาเพ้อฝันเหนือจินตนาการ” พรรณนาประสบการณ์พิศวาสในราชสำนักชิงที่เขาได้ประสบมา เล่าว่าเมื่อวัย 32 เขาเริ่มเข้าวังที่ประทับของพระนางซูสีฯอย่างลับๆ ด้วยสถานะ “คู่นอน" อันทำให้ความสัมพันธ์ทั้งสองได้ผันแปรจาก “นักการทูตหนุ่มกับไทเฮา" มาเป็น “คู่รักเริงสวาท" ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เขากระอักกระอ่วนใจไม่น้อย โดยในกิจกามนี้ก็มีมหาขันทีหลี่ เหลียนอิง เป็นผู้คอยจัดเตรียมยาโป๊วปลุกอารมณ์เพศให้แก่เขา ทั้งช่วยเขาอาบน้ำ พรมน้ำหอม ทำให้เขาเกิดอารมณ์เสน่หาสนองความปรารถนาของพระนางซูสีฯวัย 70 ชันษา
      

       ท่านเซอร์ฯบรรยายว่า “ข้าพเจ้าได้ถอดเสื้อผ้าออก ยืนเปลือยกายล่อนจ้อนอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงอันคุ้นหู “มานี่เร็วๆ เจ้าจะรอช้าอยู่ใย เรารุ่มร้อนจะแย่แล้ว!” ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่รู้สึกอาย แต่ไฟพิศวาสกลับพวยพุ่งขึ้น เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ หนุ่มวัย 32 เบื้องหน้าพระนางหม้ายชันษา 70 ข้าพเจ้าคุกเข่าลงหน้าบรรจถรณ์ (เตียง) หงส์องค์ใหม่ ซึ่งมีขนาดอลังการพอๆ กับบรรจถรณ์มังกร “กระหม่อมอยู่นี่แล้วพะยะค่ะ กระหม่อมพร้อมทำตามพระประสงค์ของไทเฮาด้วยสุดชีวิตจิตใจของกระหม่อม"
      
       “ข้าพเจ้ารู้สึกขอบคุณท่านขันทีหลี่ เหลียนอิงและยาปลุกเร้าอารมณ์สารพัดประโยชน์ของเขาด้วยใจจริง ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนตัวเองเหาะเหินเดินอากาศได้ คล้ายกับอาชาหนุ่มคะนองผยองศึกเลยทีเดียว หลังจากคลื่นกระทบฝั่งไปคำรบหนึ่งแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างเสร็จสมอารมณ์หมาย กระทั่งเกือบยามสาม ท่านหลี่จึงเข้ามาถวายชาแด่ไทเฮา และให้ยาปลุกอารมณ์กับข้าพเจ้าอีกสองเม็ด"

       ไทเฮารับสั่งว่า "เราอยู่ด้วยกันอย่างสำราญใจมาก" ขันทีหลี่ทูลตอบว่า "หม่อมฉันมองออกพะยะค่ะไทเฮา เห็นท่านชายผู้นี้ทำให้พระองค์พอพระทัยได้ หม่อมฉันก็มีความสุขมากเช่นกันพะยะค่ะ ทรงรอให้ยานี่ออกฤทธิ์ก่อน รับรองเขาได้กลับมาแข็งแรงปึ๋งปั๋ง เปี่ยมพลังวังชา พร้อมถวายงานให้ทรงสำราญอีกพะย่ะคะ"

ชินอ๋องเปิดงานสังสรรค์ชาย-ชายในห้องอาบน้ำ   
       เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง (กงชินหวัง) กับบรรดาผู้รับใช้หารือกันในห้องอาบน้ำอันเงียบเชียบแห่งนั้น พลันมีสุรเสียงบัญชาดังขึ้น "คุกเข่าลง" สุรเสียงดังก้องทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าขัด แบ็กเฮาวส์เมื่อได้ยินบัญชาก็คุกเข่าลง กงชินหวังกับชายผู้อื่นก็เช่นเดียวกัน ร่างที่กำลังยาตราเข้ามาในห้องนั้นคือพระนางซูสีไทเฮานั่นเอง พระนางทรงแต่งพระเกศาลายคลื่นลม ทรงอาภรณ์สีเหลือง ทรงสนับเพลาและรองพระบาทแบบบุรุษ หลี่ เหลียนอิงและชุย เต๋อหลงลองพระหัตถ์ของพระองค์อยู่ ครั้นพระนางย่ำพระบาทจนทรงพระองค์อย่างมั่นคงแล้ว ก็ตรัสด้วยความกริ้วว่า “ผู้ใดกล้าขัดคำสั่งเรา” หลังจากพระองค์ทรงได้ “เปิดหูเปิดตา”เสร็จ ก็เสด็จไปยังห้องอาบน้ำอื่นๆ อย่างพอพระทัย

ผลสแกนมัมมี่ฟาโรห์ นักรบผู้กล้า เก่าแก่ 3,600 ปี พบสิ้นชีพในพิธีประหารหลังพ่ายแพ้ศัตรู

ผลสแกนมัมมี่ฟาโรห์ "นักรบผู้กล้า" เก่าแก่ 3,600 ปี พบสิ้นชีพในพิธีประหารหลังพ่ายแพ้ศัตรู

มัมมี่ของฟาโรห์ เซเคเนนเร ทาว ที่สอง (Seqenenre Taa II)ภาพ,

ผลการใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือซีทีสแกน (CT scan) ตรวจสอบมัมมี่อายุเก่าแก่ 3,600 ปี ของฟาโรห์เซเคเนนเร ทาว ที่สอง (Seqenenre Taa II) พบว่ามีร่องรอยบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่งบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ ซึ่งชี้ว่าฟาโรห์หนุ่มพระองค์นี้น่าจะสิ้นพระชนม์ในพิธีประหารกลางสนามรบ หลังต้องพ่ายแพ้ให้กับข้าศึกศัตรู

รายงานการค้นพบล่าสุดทางโบราณคดีและการแพทย์ดังกล่าว ตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers of Medicine โดยเป็นความพยายามไขปริศนาที่มีมาตั้งแต่การค้นพบมัมมี่ร่างนี้ครั้งแรก เมื่อปีค.ศ. 1881 โดยนักโบราณคดีต่างสงสัยกันว่า บาดแผลร้ายแรงซึ่งผู้ทำมัมมี่ได้พยายามปกปิดซุกซ่อนไว้นั้น เกิดจากสาเหตุใดกันแน่

ฟาโรห์เซเคเนนเร ทาว ที่สอง ซึ่งมีฉายาว่า "ผู้กล้า" เป็นกษัตริย์ที่ปกครองอียิปต์ตอนใต้ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียง 5 ปี เมื่อราว 1,558 - 1,553 ปีก่อนคริสตกาล และเป็นผู้นำทัพต่อต้านการรุกรานของราชวงศ์ฮิกซอส (Hyksos) จากภูมิภาคเอเชียตะวันตก ซึ่งเข้ามาตั้งอาณาจักรอยู่ในอียิปต์ทางตอนเหนือ โดยราชวงศ์นี้พยายามบุกเข้ายึดครองดินแดนบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ในสมัยนั้นด้วย

ก่อนหน้านี้ ผลการวิเคราะห์มัมมี่ของฟาโรห์เซเคเนนเร ทาว ที่สอง ด้วยเครื่องเอกซเรย์ชนิดธรรมดาในช่วงทศวรรษ 1960 พบเพียงบาดแผลบางแห่งที่ส่วนบนของศีรษะ ทำให้มีข้อสันนิษฐานเกิดขึ้นหลายแนวทางว่า ฟาโรห์พระองค์นี้อาจถูกลอบปลงพระชนม์ขณะบรรทมหลับในพระราชวัง หรือถูกข้าศึกรุมทำร้ายขณะที่อยู่ในสนามรบก็เป็นได้

เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุของการสิ้นพระชนม์ที่แน่ชัด ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยไคโรร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและโบราณวัตถุของอียิปต์ ได้นำร่างมัมมี่ดังกล่าวมาตรวจสอบอีกครั้งด้วยเครื่องซีทีสแกน ซึ่งจะฉายภาพสามมิติภายในส่วนที่เป็นเนื้อเยื่ออ่อน กระดูก และหลอดเลือดได้ดีกว่า ทำให้พบว่ากะโหลกศีรษะของมัมมี่ฟาโรห์มีร่องรอยความเสียหายจากคมอาวุธทิ่มแทง จนอยู่ในสภาพยับเยินมากกว่าที่เคยคาดเอาไว้

ผลสแกนพบว่าส่วนหน้าและส่วนบนของกะโหลกศีรษะเต็มไปด้วยบาดแผลร้ายแรงจากคมอาวุธหลายชนิด

ผลสแกนครั้งล่าสุดนี้ยืนยันว่า ฟาโรห์เซเคเนนเร ทาว ที่สอง ทรงอยู่ในวัยหนุ่มใหญ่ราว 40 ปี ในขณะที่สิ้นพระชนม์ ฝีมือการทำร่างมัมมี่ของพระองค์นั้นไม่สู้จะประณีตนัก โดยผู้ทำมัมมี่ไม่ได้โรยเกลือให้ศพแห้ง และไม่ได้นำสมองออกจากโพรงกะโหลกศีรษะตามที่ควรจะเป็นอีกด้วย ซึ่งชี้ว่าการทำมัมมี่ครั้งนี้เกิดขึ้นในสถานที่ห่างไกลจากพระราชวัง และอาจเป็นในสนามรบก็เป็นได้

บาดแผลที่ถูกของมีคมผ่าเข้าตรงกลางหน้าผากด้านขวา, รอยเจาะเหนือดวงตาขวา, จมูกและโหนกแก้มที่แตกยับเยิน, รอยตัดที่แก้มซ้าย และรอยแตกเหนือหูข้างขวา ล้วนอยู่ในองศาที่บ่งชี้ว่า ผู้สังหารฟาโรห์อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าพระองค์และเผชิญหน้ากันโดยตรง โดยคนกลุ่มนี้มีจำนวนหลายคนและใช้อาวุธต่างชนิดกัน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบร่องรอยบาดแผลดังกล่าวกับรูปทรงอาวุธของชาวฮิกซอสในพิพิธภัณฑ์ พบว่าตรงกันพอดิบพอดี

อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยพบว่าท่าทางการวางมือของมัมมี่กษัตริย์ที่ค่อนข้างประหลาดในกรณีนี้ เกิดจากความพยายามแก้ไขท่อนแขนและมือที่ถูกมัดไพล่หลังไว้ก่อนตาย ซึ่งทำให้ศพที่กลายสภาพแข็งทื่อไปอย่างรวดเร็วเกินคาด มีท่าทางการวางมือที่บิดเบี้ยวผิดสังเกตดังกล่าว นอกจากนี้ยังไม่พบร่องรอยบาดแผลจากการใช้แขนปัดป้องอาวุธที่ใช้ทำร้ายด้วย

ศาสตราจารย์ ซาฮาร์ ซาลีม นักรังสีวิทยาชาวอียิปต์กับเครื่องซีทีสแกนที่ใช้ศึกษาร่างมัมมี่

จากการรวบรวมหลักฐานทั้งหมดข้างต้น นักโบราณคดีสามารถชี้ชัดได้ว่า ในขณะที่ฟาโรห์เซเคเนนเร ทาว ที่สอง สิ้นพระชนม์ ทรงประทับอยู่ในท่านั่งคุกเข่า ถูกมัดมือไพล่หลัง และถูกรุมสังหารด้วยคมอาวุธของศัตรูหลายคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าและหันหน้าเข้าหาพระองค์โดยตรง

ข้อมูลเหล่านี้อาจยืนยันได้ว่า มรณกรรมของฟาโรห์นักรบพระองค์นี้เกิดจากการถูกจับตัวเป็นเชลยศึกหลังรบแพ้ แล้วถูกนำตัวไปเข้าพิธีประหารชีวิตในสนามรบนั่นเอง ก่อนที่ร่างของพระองค์จะถูกทำเป็นมัมมี่อย่างเร่งรีบและส่งกลับมายังนครหลวง โดยผู้ทำมัมมี่พยายามใช้วัสดุต่าง ๆ ปกปิดบาดแผลน่าสยดสยองอย่างสุดความสามารถ
แม้จะพ่ายแพ้สงครามและสิ้นพระชนม์ไปก่อนวัยอันควร แต่บันทึกประวัติศาสตร์ระบุว่า ทายาทที่เป็นกษัตริย์รุ่นหลังสามารถปกป้องอาณาจักรอียิปต์ตอนใต้จากผู้รุกรานได้สำเร็จ ทั้งยังรวมดินแดนอียิปต์ให้เป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวได้ในยุคราชอาณาจักรใหม่ (The New Kingdom) ช่วง 1,600 - 1,100 ปีก่อนคริสตกาลอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2564

อียิปต์ค้นพบสุสานโบราณที่ สมบูรณ์แบบ อายุ 4400 ปี


อียิปต์ค้นพบสุสานโบราณที่ ‘สมบูรณ์แบบ’ อายุ 4,400 ปี

นักโบราณคดีอียิปต์ค้นพบสุสานโบราณที่ฝังศพของนักบวชชั้นสูงในสภาพสมบูรณ์แบบอายุ 4,400 ปี ภายในเต็มไปด้วยอักษรภาพและรูปปั้นฟาโรห์

สุสานอายุ 4,400 ปีแห่งนี้เพิ่งถูกค้นพบในอียิปต์ มันคือสุสานของนักบวชชั้นสูง

สุสานถูกพบในพีระมิดแห่งหนึ่งในลานซักคารา ใกล้กับกรุงไคโร ยังไม่มีใครแตะต้องมัน หรือเข้ามาขโมยข้าวของ

มอสตาฟา วาซารี เลขาธิการ สภาสูงสุดด้านโบราณคดี กล่าวว่า "ในการขุดค้นของเรา เราปล่อยเศษวัตถุชั้นสุดท้ายไว้ ตอนเรานำมันออกมาเมื่อ 2 วันก่อน เราพบแท่งที่ถูกหุ้มไว้ใหม่ 5 แท่ง"

ผนังประดับด้วยรูปปั้นที่มีสีสันและลายพระหัตถ์ของฟาโรห์ การค้นพบนี้ ถูกเรียกว่าเป็น "การค้นพบพิเศษหนึ่งเดียว ในรอบหลายสิบปี"
 

เจ้าหน้าที่ทางการระบุว่า อาจจะพบขุมทรัพย์เพิ่มเติม

รายการบล็อกของฉัน