Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2563

ทะเลสาบไบคาล ความงดงามของทะเลสาบน้ำจืดที่กลายเป็นน้ำแข็ง

ทะเลสาบไบคาล (Lake Baikal)
ค้นหา
Custom Search
ตั้งอยู่บริเวณตอนใต้ของเขตไซบีเรียในประเทศรัสเซีย เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่มีความลึกที่สุดในโลก โดยจุดที่ลึกที่สุดมีความลึกกว่า 1,640 เมตร 
และมีพื้นที่ถึง 31,722 ตารางกิโลเมตร ซึ่งทะเลสาบแห่งนี้เกิดจากการที่น้ำเอ่อล้นเข้ามาจนเต็มรอยแตกของเปลือกโลกที่เกิดขึ้นเมื่อ 25 ล้านปีที่แล้ว
และในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในปี 1996 ให้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นมรดกโลก โดยมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณา คือ
  • เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดของการเป็นตัวแทนในวิวัฒนาการสำคัญต่างๆในอดีตของโลก เช่น ยุคสัตว์เลื้อยคลาน ยุคน้ำแข็ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาความหลากหลายทางธรรมชาติบนพื้นโลก
  • เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดในการเป็นตัวแทนของขบวนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทาง ธรณีวิทยาหรือวิวัฒนาการทางชีววิทยา และปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่กำลังเกิดอยู่ เช่น ภูเขาไฟ เกษตรกรรมขั้นบันได
  • เป็นแหล่งที่เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มีเอกลักษณ์หายากหรือสวยงามเป็นพิเศษ เช่น แม่น้ำ น้ำตก ภูเขา
  • เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชนิดสัตว์และพันธุ์พืชที่หายากหรือที่ตกอยู่ในสภาวะ อันตราย แต่ยังคงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งรวมถึงระบบนิเวศอันเป็นแหล่งรวมความอุดมสมบูรณ์ของพืชและสัตว์ที่ทั่วโลกให้ความสนใจ
ในเวลาปกติทะเลสาบแห่งนี้ก็เป็นเพียงทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ธรรมดา แต่เมื่อฤดูหนาวมาถึง 
โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศหนาวจัดระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ทะเลสาบนี้จะแข็งตัวกลายเป็นน้ำแข็งทั้งหมด ซึ่งเต็มไปด้วยปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่าตื่นตะลึงมากมาย
และเมื่อไปยังเกาะโอล์คอน (Olkhon Island) เกาะที่ใหญ่ที่สุดในทะเลสาบไบคาล คุณจะได้เห็นน้ำแข็งรูปทรงประหลาดที่ก่อตัวขึ้นทั่วเกาะ
รวมถึงน้ำแข็งลักษณะคล้ายหินงอกหินย้อย...
ที่เปรียบเสมือนประติมากรรมจากธรรมชาติที่มีความงดงามจนต้องไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้งในชีวิต

เรื่องลึกลับ นางห้าม สมัยอาณาจักรขอมโบราณ


ค้นหา
Custom Search
นางห้าม" สมัยอาณาจักรขอมโบราณ

(สีแดง)อาณาเขตช่วงกลางพุทธศตวรรษที่15 สมัยขอมเรืองอำนาจ
อาณาจักรขอมหรือแขมร์ เป็นอาณาจักรที่เคยเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15-19 สิ่งที่ยืนยันถึงความความยิ่งใหญ่ของขอมในอดีต คือ นครวัด และนครธม ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของขอมมาก่อน  ซึ่งสมัยยุคพระนครนั้นอาณาจักรขอมกินพื้นที่อาณาบริเวณจำนวนมหาศาล คือ กัมพูชาทั้งประเทศ ไทย ลาวเกือบทั้งประเทศ  พม่าและเวียดนามบางส่วน  กินไปจนถึงจีนตอนใต้บางส่วน  มีเมืองขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้อาณาจักรขอมได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอุษาคเนย์ ในช่วงเวลาดังกล่าว 
  
จากความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรขอมทำให้กษัตริย์ผู้เป็นองค์สมมติเทพอันได้รับคติความเชื่อมาจากฮินดู มีอำนาจล้นฟ้าจะทำการสิ่งใดก็ได้ภายในอาณาจักรตน เป็นวาจาอาญาสิทธิ์ ซึ่งนอกจากอำนาจ ดินแดน ทรัพย์สินเงินทอง ข้าราชบริพาร ที่มีมากอย่างล้นเหลือแล้ว สิ่งหนึ่งที่กษัตริย์ขอมอยากครอบครอง คือ สตรี นั่นเอง
นครวัด

ในราชสำนักขอมโบราณกษัตริย์จะมีมเหสี1 องค์ ส่วนพระสนมนั้นมีได้ไม่จำกัดจำนวน นักประวัติศาสตร์กล่าวว่าสนมในอาณัติของกษัตริย์เขมรโบราณมีไม่ต่ำกว่า1,000นาง ซึ่งมาจากมากมายหลายที่ ทั้งที่กษัตริย์หมายปอง  และสตรีที่ถูกนำตัวมาถวาย รวมถึงเชลยศึกจากเมืองต่างๆ โดยมีทั้งสตรีสามัญชนและสตรีสูงศักดิ์

หญิงจากเมืองต่าง ๆ จะถูกปลดเปลื้องผ้าสไบออกให้เห็นเนินอกและปทุมถันตามแบบจารีตขอม
นางใดที่ไม่ทำตามหรือขัดขืนไม่ยอมเป็นนางห้าม จะถูกลงโทษทัณฑ์ด้วยวิธีต่างๆ เช่น
-ใช้ช้างกระทืบกลางหน้าอกจนตาย
-ตัดลำตัวให้ขาดเป็นสองท่อน
-โยนลงบ่อจระเข้
-ต้มในน้ำเดือดจนตาย
-ใช้สิ่วตอกเพื่อเปิดกระโหลกให้แร้งกา จิกกินสมอง
-กรีดเนื้อเอาเกลือทาจนตาย
-เฉือนเนื้อส่วนต่างๆให้ตัวเองกินจนกว่าจะตาย
-ใช้สิ่วตอกอวัยวะเพศให้ทะลุมดลูกจนตาย
-โยนเข้ากองไฟในขณะมีชีวิต
-ใช้ไม้ไผ่แหลมขนาดเท่าแขน สวนทวารหนักให้ทะลุปาก เป็นต้น

หลังพวกนางถูกประหารชีวิตแล้ว พราหมณ์เจ้าพิธีกรรมจะทำการจองจำวิญญาณเพื่อให้เป็นบาทบริจาริกาของกษัตริย์ไปชั่วกาลปาวสานโดยการสะกดวิญญาณไว้ในรูปสลักนางอัปสรา
ที่ปรากฏตามปราสาทหินต่างๆนั่นเอง เหตุนี้จึ่งทำให้รูปนางอัปสรเหล่านี้ ดูราวกับสามารถออกมาร่ายรำในคืนพระจันทร์เต็มดวงได้อย่างน่าฉงน
วิญญาณของสตรีที่ถูกลงทัณฑ์จะถูกจองจำในรูปสลักนางอัปสราไปชั่วกาลปาวสาน


ส่วนนางที่รอดจากการประหารใช่ว่าจะมีชีวิตที่สุขสบายนะครับ ไม่ว่าจะเป็นสตรีสูงศักดิ์จากเมืองหรือสตรีสามัญชน พวกนางต้องถูกสักหน้าผากทำงานหนักยิ่งกว่าทาส และมีสถานะเป็นหญิงกลางเมือง คือตกเป็นสมบัติกลางเมืองแก่ชายทั่วทั้งอาณาจักร อย่าหวังว่าจะได้เงยหน้าอ้าปาก ถามหาเกียรติยศศักดิ์ศรีคืนกลับมาอีกเลย เพราะจักต้องปรนเปรอความใคร่ ตั้งแต่ชายชั้นสูง ขุนนาง ชายต่างชาติอีกมากหน้าหลายตา รวมถึงชายชั้นเลวทั้งหลาย ซึ่งเมื่อเห็นเหล่านางที่ถูกสักหน้าผากที่ใดสามารถนำมาปรนเปรอได้โดยไม่ผิดอาญาหลวง 

การกระทำการทารุณยิ่งกว่าสัตว์นี้ เป็นเหตุให้สตรีไม่กล้าขัดขืนที่จะเป็นนางห้ามของกษัตริย์ขอมโบราณ นอกจากนี้ยังทำให้อาณาจักรใหญ่น้อยต่างยำเกรงในความเหี้ยมโหดแลป่าเถื่อนเยี่ยงสัตว์เดียรัจฉานก็มิปานของขอมด้วย

การแต่งกายที่เลียนแบบจากรูปสลักหินนางอัปสราจากกลุ่มปราสาทต่างๆ

เมื่อพูดถึงเหล่านางสนมธรรมดาแล้ว ผมนึกถึงตำนานที่เล่าขานถึงสตรีนางหนึ่งที่มีบทบาทต่อราชสำนักขอมโบราณอย่างมาก

นางผู้นี้มีชื่อว่า "กังสตาลวาตีศรีสุริยวรมัตตรา"ความชั่วร้ายของนาง เป็นที่กล่าวขานไปทั่วพระนครธมแห่งนี้ ความที่นางสามารถบงการแก่องค์สมมติเทพให้ตกอยู่แก่อาณัติแห่งนางได้
นางนั้นไซร้มีหน้าที่ถวายคำแนะนำแก่
องค์อัครราชาธิราช ตลอดจนถึงเป็นครูสอนเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ให้แก่พระองค์ด้วยถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ คงต้องใช้คำว่า "ขึ้นครู" กระมังการเปลื้องหน้าอกของสตรีเป็นรีตสมัยขอมโบราณ

แม่ย่านางกังสดาล มีหน้าที่ควบคุมกฎเกณฑ์ในราชสำนักขอม ประมาณยุคพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 หรือก่อนหน้านั้น

นางมีหน้าที่ควบคุมความเป็นไปในราชสำนักขอมในเวลานั้นแต่นางหาได้เปิดเผยตัวเท่านใดนัก ที่พำนักแห่งนาง ก็คือ "ภูกระดิ่ง" นางมีประตูเชื่อมกาลเวลาเดินทางไปมาได้ราวกับล่องหนหายตัวประตูนี้เชื่อมโยงทวีปต่าง ๆ ทั่วโลกเข้าด้วยเป็นวิวัฒนาการที่หายสาบสูญไปเพราะฝีมือของมนุษย์เรานี่เองครับ

ไม่ใช่ว่านางจักมิทรงมีความรักแต่นางอาจจะอายุยืนเกินไปที่จะผูกพันกับผู้ใดได้โดยง่ายการถ่ายจิตวิญญาณเหมือนเรื่องคุณยาย
วรนารถ ก็อะไรทำนองนั้นแหละ
ส่วนกรรมวิธีก็ซับซ้อนนะครับ ยากอธิบายแต่หลักการก็คือ เปลี่ยนคน แต่ความทรงจำเดิม ประมาณนั้นครับ

ยามแสงจันทร์ต้องรูปสลักหิน เหล่านางอัปสราจะออกมาร่ายรำอย่างน่าฉงน

ปริศนารูปสลักมีชีวิตแห่งบ็อกซลีย์


ค้นหา
Custom Search
ปริศนารูปสลักมีชีวิตแห่งบ็อกซลีย์ ครั้งหนึ่งในโบสถ์
แห่งบ็อกซลีย์ (Boxley Abbey) 
ซึ่งอยู่ห่างลอนดอนไปทางตะวันออก 30 ไมล์ มีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้น นั่นคือ การมีชีวิตของรูปสลักเยซู คริสต์บนไม้กางเขนในโบสถ์นั้น
จนเป็นที่เลื่องลือและได้รับการขนานนามว่า“The Holy Cross of Grace” หรือ “the Rood of Grace” (กางเขนแห่งพระมหากรุณา)
โดยรูปสลักไม้ขนาดเท่าคนจริง สามารถขยับเขยื้อน เลิกคิ้วได้ สรวลได้ ขยับแขน ขา ได้ ทั้งนี้ นักบวชประจำอารามแห่งนี้ได้บอกเล่ายืนยันว่าเป็นจริง และเมื่อผู้คนทั่วสารทิศหลั่งไหลมาชม ก็ประจักษ์จริงในคำเล่าขานดังกล่าว

รูปสลักตรึงกางเขนนี้ตั้งอยู่ด้านหน้าฉากกลางโบสถ์ซึ่งเรียกว่า 
“ฉากกางเขน (rood screen)” 
ด้านหลังฉากถือเป็นที่บูชาศักดิ์สิทธิ์ ที่ซึ่งขนมปังและไวน์จะแปรสภาพเป็นเนื้อหนังและโลหิตของพระคริสต์ บรรดาศาสนิกชน ได้สวดอ้อนวอนขอพระเจ้าดลบันดาลให้ทุกข์โศกของพวกเขาได้บรรเทาลง และเมื่อพระองค์ทรงได้รับทรัพย์สินสักการะบูชาแล้ว ก็จะรับรู้ด้วยการลืมพระเนตร และขยับพระโอษฐ์

👉อะไรทำให้รูปสลักนี้เคลื่อน
ไหวได้?

เป็นปาฏิหาริย์จริง ๆ หรือมีสิ่งใดแอบแฝง?เหตุปาฏิหาริย์นี้เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 16 ซึ่งผู้คนมีความเคร่งในศาสนาสูงสุด ยอมแม้กระทั่งสละชีวิตเพื่อบูชาแก่ความเลื่อมใสศรัทธา
[พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 แห่งอังกฤษ]
และก็เป็นช่วงขณะเดียวกับกับที่กษัตริย์อังกฤษผู้อื้อฉาวคือพระเข้าเฮนรี่ ที่8 (Henry VIII) ทรงครองราชย์ พระองค์มีพระประสงค์โค่นล้มอำนาจขององค์สันตะปาปาแห่งกรุงโรม ซึ่งขัดขวางมิให้พระองค์ทรงหย่าขาดกับมเหสีองค์แรก คือ 
แคทเธอรีน แห่งอารากอน(Catherine of Aragon)

🎭ดังนั้น พระองค์จึงต้องหาหนทางลบล้างศรัทธาที่ราษฎรอังกฤษมีต่อนิกายโรมันคาทอลิค อันมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม ด้วยการสั่งทำลายโบสถ์ วิหารคาทอลิคทุกแห่งในอังกฤษปี 1538 สายลับของพระเจ้าเฮนรี่ก็ได้นำข่าวสำคัญมารายงานว่า หลังจากทำลายโบสถ์แห่งบ็อกซลีย์ ได้พบเครื่องกลไกซึ่งทำขึ้นเพื่อหลอกประชาชนให้หลงเชื่อเรื่องการคืนชีพของพระคริสต์ โดยบุรุษนามว่า เจฟเฟอรี่ แชมเบอร์ (Jeffery Chamber) กล่าวว่า “เมื่อทุกโบสถ์แห่งบ็อกซลีย์และรื้อถอนรูปสลักตรึงกางเขน ก็พบเครื่องกลไกและเส้นลวดเก่า ๆ รวมทั้งก้านไม้อยู่ทางด้านหลังของรูปสลัก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้รูปสลักสามารถเคลื่อนไหว ลืมตา ผงกหัวได้…”

การพบของแชมเบอร์เป็นการสันนิษฐานว่า ช่างไม้สมัยนั้นได้ประดิษฐ์อุปกรณ์เหล่านี้ และนักบวชในโบสถ์เป็นผู้ดำเนินการให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์แก่ศาสนาขึ้น ดังนั้น พระเจ้าเฮนรี่ที่8 จึงทรงได้โอกาสนำเอาซากศักดิ์สิทธิ์นี้มาแห่แหนป่าวประกาศทั่วกรุงลอนดอน ถึงการโกหกหลอกลวงของนักบวชคาทอลิค ใต้บังคับบัญชาขององค์สันตะปาปาแห่งกรุงโรม
เมื่อชาวอังกฤษเสื่อมศรัทธาลงแล้ว การก่อตั้งนิกายใหม่ “Church of England” ของพระองค์จึงประสบความสำเร็จ หากแต่เบื้องหลังข้อเท็จจริงที่ว่า กลไกนั้นผู้ใดเป็นผู้ทำขึ้น และนักบวชหลอกลวงประชาชนภายใต้การนำขององศ์สันตะปาปาจริงหรือไม่นั้น...

เป็นเรื่องที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ เพราะหลักฐานต่าง ๆ ล้วนหลงเหลืออยู่น้อยมากแล้ว…

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2563

สุภาาษิตไทยที่น่าสนใจ

ค้นหา
Custom Search
👉กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี : สำนวนคำพังเพยประโยคนี้เป็นสำนวนเก่า ซึ่งอาจจะมีมาจากครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ได้เพราะปรากฏมีหลักฐานในเสภาขุนช้างขุนแผน ตอนเถรกวาดแก้แค้นพลายชุมพลตอนหนึ่งด้วยว่า " คนดีไม่สิ้นอยุธยา " สำนวนนี้เป็นความหมาย ี้อธิบายอยู่ในตัวแล้ว " คนดี " ก็คือคนเก่งหรือผู้มีความสามารถในทางต่อสู้และความคิดอยู่พร้อม อย่าชะล่าใจนักจักเสียที.

👉กลิ้งครกขึ้นภูเขา : สำนวนนี้ มักจะพูดกันว่า ''เข็นครกขึ้นภูเขา '' กันส่วนมาก แต่แท้จริง '' ครก '' ต้องทำกริยา '' กลิ้ง '' ขึ้นไปจึงจะถูก กล่าวคำว่า '' เข็น '' แปลว่า เรื่องที่กำลังจะทำหรือจะทำให้สำเร็จบรรลุผลนั้น ยากลำบากแสนเข็ญมิใช่ของที่ทำได้ง่ายนักเปรียบได้กับ การกลิ้งครกขึ้นภูเขาไปสู่ยอดเขา

👉กลืนไม่เข้าคายไม่ออก : แปลว่าหมดหนทางที่จะทำหรือไม่รู้จะทำอย่างไรดีหรือ เป็นการทำให้ตัดสินใจไม่ถูก เพราะจะไม่ทำลงไปก็ไม่ดี ทำลงไปก็ไม่ดีเป็นการยากที่จะตัดสินใจทำลงไปได้ง่าย เหมือนก้างปลาหรือเศษอาหารอะไรอย่างหนึ่ง เข้าไปติดอยู่กลางลำคอกลืนก็ไม่เข้าคายก็ไม่ออก.

👉กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้ : สำนวนพังเพยนี้ มาจากการคั่วถั่วกับงาในกระทะเดียวกัน ถั่วเป็นของสุกช้างาสุกเร็วมัวรอไห้ถั่วสุก งาก็ไหม้เสียก่อน สำนวนนี้หมายถึงการทำอะไรสองอย่างพร้อมกันหรือทำอะไรสักอย่างที่ไม่รอบคอบ มัวคิดแต่จะได้ทางหนึ่งต้องเสียทางหนึ่งในความหมายอีกแง่ก็แปลว่าการทำอะไรมัวรีรออยู่ ไม่รีบลงมือทำเสียแต่แรกครั้นพอลงมือจะทำ ก็ไม่ทันการเสียแล้วเพราะคนอื่นเขาเอาไปทำเสียก่อน.

👉กำขี้ดีกว่ากำตด : ความหมายว่า ได้ในสิ่งที่เห็นหรือเป็นของได้แน่ ดีกว่าคิดอยากได้ในสิ่งหรือของที่ไม่เห็นเหมือนไม่มีตัวตน การกินการอยู่ใครไม่สู้พ่อ การพายการถ่อพ่อไม่สู้ใคร : สำนวนนี้อธิบายความหมายอยู่ในตัวแล้วแสดงว่า เรื่องกินแล้วเก่งจนไม่มีใครสู้แต่ถ้าเรื่องงานแล้วยอมแพ้ ซึ่งแปลว่าขี้เกียจนั้นเอง.

👉กินที่ลับไข่ที่แจ้ง : สำนวนนี้ มีความหมายไปในทำนองที่ว่า ทำอะไรไว้ในที่ลับแล้วอดปากไว้ไม่ได้เอามาเปิดเผย ให้คนทั้งหลายรู้เพื่อจะอวดว่าตนกล้าหรือสามารถทำอย่างนั้นได้โดยไม่กลัวใครผิดกฎหมาย อะไรทำนองนั้นหรือไม่กลัว

👉กินน้ำใต้ศอก : หมายไปในทางที่ว่าถึงจะได้อะไรสักอย่างก็ไม่เทียมหน้าหรือไม่เสมอหน้าเขา เช่นหญิงที่ได้สามี แต่ต้องตกไปอยู่ในตำแหน่งเมียน้อย ก็เรียกว่า "กินน้ำใต้ศอกเขา" ที่มาของสำนวนนี้ คนในสมัยก่อนอธิบายว่า คนหนึ่งเอาสองมือกอบน้ำมากิน มากิน อีกคนหนึ่งรอหิวไม่ไหวเลยเอาปากเข้าไปรองน้ำที่ไหลลงมาข้อศอก ของคนกอบน้ำกินนั้นเพราะรอหิวไม่ทันใจ.

👉กินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา : แปลว่าคนที่เนรคุณคนเปรียบได้กับคนที่อาศัยพักพิงบ้านเขาอยู่แล้ว คิดทำมิด ีมิชอบให้เกิดขึ้นภายในบ้านนั้น ทำให้เจ้าของบ้านที่ให้อาศัยต้องเดือดร้อนคนโบราณเอาลักษณะของแมวที่ไม่ดี คือกินแล้วไม่ขี้ให้เป็นที่กลับขึ้นไปขี้บนหลังคาให้เป็นที่สกปรกเลอะเทอะเพราะคนสมัยก่อนต้องการให้หลังคาสะอาดเพื่อรองน้ำฝนไว้กิน
จึงเอาแมวชั่วนี้ มาเปรียบเทียบกับคนชั่วที่ไม่รู้จักบุญคุณคน.

👉กินปูนร้อนท้อง : สำนวนนี้มาจากตุ๊กแก ว่ากันว่า ตุ๊กแกที่กินปูน (ปูนแดงที่กินกับหมากพลู )
มักจะทำอาการกระวนกระวาย ส่งเสียงร้องแกร็กๆ เหมือนอาการร้อนท้องหรือปวดท้อง
จึงนำเอามาเปรียบกันคนที่ทำพิรุธหรือทำอะไรไว้ไม่อยากให้ใครรู้แต่เผอิญมีใครไปแคะได้ หรือเรียบเคียงเข้าหน่อยทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้เจตนาเจาะจงแต่ตัวเอง ก็แสดงอาการเป็นเชิงเดือดร้อนออกมาให้เขารู้ สำนวนนี้มักพูดกันว่า " ตุ๊กแกกินปูนร้อนท้อง ".

👉กินน้ำเห็นปลิง : แปลว่า สิ่งใดที่ต้องการ ถ้าสิ่งนั้นมีสิ่งที่น่ารังเกียจ หรือไม่บริสุทธิ์ก็ทำให้รังเกียจหรือตะขิดตะขวงใจไม่อยากได้
เปรียบดังที่ว่าปลิงเป็นสัตว์น่ารังเกียจอยู่ในน้ำ เวลากินน้ำมองเห็นปลิงเข้าก็รู้สึกรังเกียจขยะแขยงไม่อยากกิน
สำนวนนี้มีนักเขียนเอามาเขียนเอามาตั้งเป็นชื่อหนังสือเล่มหนึ่ง.

👉เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน : " เบี้ย " ในสมัยก่อนเป็นพวกหอยชนิดหนึ่งเรียกว่า " เบี้ยจั่น " ใช้เป็นเงินแลกเปลี่ยนซื้อของได้ แต่มีราคาต่ำแปลตามตัวอักษรนี้ก็ว่าเก็บเบี้ยที่ตกอยู่ตามใต้ถุนร้าน หรือแผงลอยวางของขายซึ่งตกหล่นอยู่บ้าง เพราะมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนเบี้ยกับของโดยไม่เห็นว่าจะเป็นเบี้ยมีราคาต่ำ สำนวนนี้จึงแปลความหมายว่าถึงจะทำงานเล็กใหญ่ หรือค้าขายอะไรก็ตาม ก็พยายามค่อย ๆ ทำให้มีผลได้แม้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังดีกว่าปล่อยให้หลุดลอยไปเสีย.

👉เกลียดขี้ขี้ตาม เกลียดความความถึง : สำนวนนี้ ไม่ทราบที่มาหรือมูลของสำนวนแน่ชัด
แต่ก็เป็นที่รู้ ความหมายกันทั่วไปว่า หมายถึง การที่คนเราเกลียดสิ่งไหนแล้วมักจะได้สิ่งนั้นเปรียบได้กับชายที่เกลียด ผู้หญิงขี้บ่นจู้จี่แต่มักลงท้ายกลับไปได้ภรรยาขี้บ่นจู้จี่เข้าจนได้

👉เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง : สำนวนนี้มีความหมายแตกต่างกับประโยค " เกลียดขี้ขี้ตาม " เพราะแปลความหมายไปในทางที่ว่าเกลียดตัวเขาแต่อยากได้ผลประโยชน์จากเขา หรือของ ๆ เขา ตามความหมายเปรียบเทียบของสำนวนที่ว่าเช่นเกลียดปลาไหลในรูปร่างของมัน แต่เมื่อเอามาแกงมีรสหอมก็ทำให้อดอยากกินแกงไม่ได้ถึงแม้จะไม่กินเนื้อปลาไหลเลยก็ตาม.
👉แกว่งเท้าหาเสี้ยน : หมายถึงคนที่ชอบทำอะไรเป็นการสอดแทรกเข้าไปยุ่งกับเรื่องของผู้อื่นเข้า จนกระทั้งกลาย เป็นเรื่องกับตัวเองจนได้เสมอ เรียกว่าชอบสอดเข้าไปเกี่ยวสำนวนในปัจจุบันเปลี่ยนไปใช้เป็นว่า " แกว่งปากหาเท้า "
เสียแล้ว เพื่อให้ความชัดเจนขึ้น.

👉ไก่กินข้าวเปลือก : สำนวนคำพังเพยประโยคนี้ ถ้าพูดให้เต็มความก็ต้องพูดว่า " ตราบใดที่ไก่ยังกินข้าวเปลือกอยู่ ตราบนั้นคนเราก็ยังอดกินสินบนไม่ได " เข้าใจว่าเป็นคำพังเพยของจีน ๆ เอามาใช้เป็นภาษาของเขาก่อน แล้วไทยเราเอามาแปลเป็นภาษาไทยใช้กันอยู่มากในสมัยก่อน ๆ.

👉ใกล้เกลือกินด่าง : หมายความว่า สิ่งที่หาได้ง่ายหรืออยู่ใกล้ไม่เอา กลับไปเอาสิ่งที่อยู่ไกลหรือหายากเปรียบได้ว่าเกลือหาง่ายกว่าด่าง ความหมายอีกทางหนึ่งหมายถึงว่าอยู่ใกล้กับของดีแท้ ๆ แต่ไม่ได้รับเพราะกลับไปคว้าเอาของที่ดี หรือมีราคาด้อยกว่าคือด่างซึ่งมีรสกร่อยหรืออ่อนเค็มกว่าเกลือ

ข้อมูลจากศาลานุกรมไทย
เรียบเรียงโดยmanman 

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2563

โปแลนด์ยอมรับพบรถไฟมหาสมบัตินาซีจริงคาดซุกทอง300ตัน


โปแลนด์ยอมรับพบ รถไฟ มหาสมบัตินาซี จริงคาดซุกทอง300ตัน
รัฐบาลโปแลนด์ยอมรับค้นพบรถไฟมหาสมบัติของนาซีแล้ว ถูกซ่อนในทางรถไฟลึกลับยาว4 กม. ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ

ในที่สุดรัฐบาลโปแลนด์ก็ยอมรับอย่างเป็นทางการแล้วว่า การค้นพบขบวนรถไฟของนาซีเป็นเรื่องจริง หลังจากที่มีกระแสข่าวมาตลอด 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีการยืนยันใดๆ สร้างความสับสนให้กับชาวโลกอย่างยิ่งว่า เป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงการกุข่าวของนักล่าสมบัติกำมะลอ

ทว่า เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว เปียตร์ จูโชวสกี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของโปแลนด์ยืนยันว่า จากการใช้เรดาร์สำรวจพบรถไฟในตำนานถูกซุกซ่อนอยู่บนทางรถไฟลึกลับความยาว 4 กม. ใกล้กับเมืองวาลบ์จิก ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ จากการตรวจสอบพบว่า เป็นรถหุ้มเกราะแสดงถึงความเป็นไปได้ที่จะมีของมีค่าอยู่
ในนั้น

รัฐมนตรีของโปแลนด์ยังเปิดเผยด้วยว่า ชายนิรนามรายหนึ่งซึ่งเคยเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการซุกซ่อนรถไฟขบวนดังกล่าว ได้เปิดเผยความลับนี้ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตไม่นาน และเมื่อช่วงต้นเดือนนี้มีกระแสข่าวว่า ชาวเยอรมันรายหนึ่งกับชาวโปแลนด์อีกรายหนึ่งแจ้งกับทางการว่า พบรถไฟในตำนานแล้วและขอส่วนแบ่งในการค้นพบ 10%

ทรัพย์สมบัติที่คาดว่าน่าจะถูกซ่อนไว้ภายในคือ ทองคำ 300 ตัน อัญมณี และศิลปวัตถุอันล้ำค่า ที่ตำนานท้องถิ่นเล่าว่า พวกนาซีขนย้านมาจากเมืองเบสเลาเพื่อหนีกองทัพโซเวียตที่รุกคืบเข้ามาในช่วงที่สงครามใกล้สิ้นสุด

อย่างไรก็ตาม ทอม โบเวอร์ ผู้สื่อข่าวและนักเขียนเชิงสืบสวนชื่อดังชาวอังกฤษ เจ้าของผลงานเรื่อง Nazi Gold: the Full Story of the Fifty-Year Swiss-Nazi Conspiracy to Steal (ทองคำนาซี : เรื่องจริงของการปล้นชิงนาน 50 ปีจากการสมคบระหว่างนาซี-สวิส) คาดว่า หนึ่งในสิ่งที่ซ่อนไว้ในขบวนรถไฟทองคำ น่าจะเป็นเครื่องประดับจากห้องอำพัน หรือ Amber Room อันล้ำค่า ที่พวกนาซีปล้นชิงมาจากพระราชวังแคทเธอรีน ที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ระหว่างความพยายามรุกรานสหภาพโซเวียต

โบเวอร์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวสกายนิวส์ว่า หากเป็นขบวนรถที่บรรทุกศิลปวัตถุจริง ก็น่าจะมีภาพเขียนล้ำค่า อัญมณี เช่น เพชร พลอย หรือทับทิม และยังอาจจะมีอำพันจากห้องอำพันที่สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอยหลังพวกนาซีปล้นพระราชวัง แล้วบรรทุกพร้อมขบวนรถไฟไปยังเมืองเคอนิกสแบร์ก

ในเวลาต่อมากองทัพอากาศแห่งสหราชอาณาจักรส่งกองกำลังไปทิ้งระเบิดที่เมืองเคอนิกแบร์ก ในปี 1944 ทำลายปราสาทเคอนิกสเบิร์ก อันเป็นที่เก็บรักษาสมบัติจากห้องอำพันจนพินาศหมดสิ้น อย่างไรก็ตาม มีพยานบอกเล่าว่า ก่อนที่จะมีการโจมตีทางอากาศ มีการลำเลียงสิ่งของโดยขบวนรถไฟขนาด 40 โบกี้ออกจากปราสาท
โบเวอร์ชี้ว่ามีความเป็นไปได้ที่ขบวนรถไฟจากเคอนิกสแบร์ก จะเดินทางจากปรัสเซียตะวันออกผ่านเส้นทางกว่า 600 กม. มาถึงชายแดนโปแลนด์ใกล้กับสาธารณรัฐเช็ก ซึ่งในช่วงสงครามเป็นส่วนหนึ่งของนาซีเยอรมัน เพื่อนำของล้ำค่าให้พ้นจากเงื้อมมือของกองทัพสัมพันธมิตรที่รุกคืบตีแนวรบด้านตะวันตก รวมถึงกองทัพโซเวียตที่รุกตีแนวรบด้านตะวันออก
ปริศนาห้องอำพัน
ห้องอำพัน (Amber Room) แห่งพระราชวังแคทเธอรีน ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับที่แปดของโลก ด้วยความงดงามล้ำค่า ประดับด้วยอำพันถึง 6 ตัน ในพื้นที่ 55 ตร.ม. ทั้งยังมีการประดับประดาด้วยประติมากรรมแบบบาโรก ปิดทองคำเปลวและกระจก เรียกได้ว่า ห้องทั้งห้องทำด้วยอัญมณีและทองคำทำให้เหลืองอร่าม สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ผู้พบเห็นห้องอำพันสร้างขึ้นในปี 1701 ในรัชสมัยของพระเจ้าฟรีดริช วิลเฮล์มที่ 1 แต่เดิมเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังชาร์ลอตเตนบวร์ก กรุงบอร์ลิน แห่งอาณาจักรปรัสเซีย (เยอรมนีในปัจจุบัน)

 ในปี 1716 พระเจ้าปีเตอร์มหาราชแห่งรัสเซีย เสด็จเยือนกรุงเบอร์ลิน และทรงโปรดห้องอำพันเป็นอย่างมาก พระเจ้าฟรีดริช วิลเฮล์มจึงถวายให้พระเจ้าปีเตอร์มหาราชเพื่อประสานสัมพันธไมตรี

เมื่อมาถึงรัสเซียแล้วยังไม่มีการติดตั้ง กระทั่งถึงสมัยจักรพรรดินีเอลิซาเบธแห่งรัสเซีย พระราชธิดาของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช จึงได้มีการนำไปติดตั้งที่พระราชวังแคทเธอรีน อันเป็นพระราชวังฤดูร้อน ชานนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 
และอยู่ที่นั่นจนกระทั่งถึงยุคสหภาพโซเวียต

ในระหว่างสงครามโลก กองทัพนาซีได้ปิดล้อมนครเซนต์
ปีเตอร์สเบิร์ก กองทัพสหภาพโซเวียตพยายามซ่อนห้องอำพันโดยใช้วอลเปเปอร์เท่าที่จะหาได้ แต่ไม่สามารถตบตากองทัพนาซีได้ ซึ่งมีการค้นพบและใช้เวลาในการขนย้ายสิ่งของล้ำค่าในห้องอำพันเพียง 36 ชม. เพื่อนำกลับไปยังเยอรมนี แต่ในช่วงก่อนสิ้นสุดสงครามกลับสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย

วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ความเชื่อเรื่อง ผึ้ง ต่อ แตน มาทำรังที่บ้าน

ค้นหา
Custom Search
🐝*เคยคิดกันบ้างไหมครับว่าเรื่องของฮวงจุ้ยเมืองไทยของเราก็มี  มีตั้งแต่โบร่ำโบราณ  ผู้เฒ่าผู้แก่ทราบดี  แม้แต่บางเรื่องเราคงเคยได้ยินกันมาบ้าง  แต่ก็ไม่ได้ให้ความใส่ใจอะไรมากนัก  วิชาฮวงจุ้ยของไทยจึงถูกจำกัดไว้แค่เป็นเรื่องบอกเล่า
ไม่มีทฤษฎีที่แน่นอน  ไม่มีการพิสูจน์ใดๆ  ไม่มีการรวบรวม  เหมือนวิชาฮวงจุ้ยจีน  ทำให้วิชาฮวงจุ้ยของไทยเป็นเพียงแค่ความเชื่อในสังคมไทยเท่านั้น

*ถ้าเอ่ยคำว่า ฮวงจุ้ย เรารู้จักกันแต่ว่าเรื่องฮวงจุ้ยเป็นของประเทศจีน  เพราะตำราฮวงจุ้ยของจีนมีเยอะแยะมากมาย  จนไม่รู้ว่าจะเริ่มอ่านจากเล่มไหนไปเล่มไหน  ใครที่เริ่มศึกษาแรกๆต้องเป็นงงอย่างแน่นอน

เพราะฉะนั้นวันนี้  ผมจะพาแฟนๆคอลั่มไปเปิดโลกใหม่แห่งการเรียนรู้โดยที่ไม่ต้องติดยูบีซี  กับเรื่องของฮวงจุ้ยไทยกัน

อย่างแรกฮวงจุ้ยไทยให้ความสำคัญเรื่องโชคลางมาก  เห็นได้จากหน้าหนังสือพิมพ์ในปัจจุบัน  ต้นไม้ออกผลที่ประหลาด  หรือมีลำต้นที่ประหลาด  ก็จะถูกคนกราบไหว้บูชาขอโชคลาภ  ถ้าวัว ม้า หมู ปลา  หรือสัตว์อะไรแล้วแต่ที่ออกลูกมาพิการ  มีเกินบ้างมีขาดบ้าง  ก็หลีกไม่พ้นการขอหวยขอรวยขอโชคขอลาภ  เป็นอย่างนี้จนชินตาเลยนะครับ

ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องสัตว์มีมากมาย  จนมีคำล้อเลียนที่ว่า "จิ้งจกทักคนยังฟัง  นี่คนด้วยกันทักแล้วจะไม่ฟังได้อย่างไร"  ความเชื่อเหล่านี้จะมีที่มาที่ไปรึเปล่า  หรือว่าเราชินจนไม่ค่อยสนที่มาที่ไปสักเท่าไหร่  แฟนคอลั่มเคยได้ยินความเชื่อที่ว่านี้ไหมครับ

“ผึ้ง ต่อ แตน มาทำรังที่บ้าน  เตรียมรับโชคลาภใหญ่”
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าสัตว์พวกนี้เป็นสัตว์ป่า  เชื่อกันว่าเป็นสัตว์ที่มีสัญชาตญาณสูง  โดยปรกติแล้วสัตว์พวกนี้จะอาศัยอยู่ในป่า  ที่มีระบบนิเวศที่สมบูรณ์  การที่ผึ้ง ต่อ แตน มาเกาะที่บ้าน  เลยทำให้ชวนคิดไม่ได้นะครับว่า  บ้านนี้ต้องมีอะไรพิเศษสักอย่างที่ทำให้สัตว์เหล่านี้   หนีร้อนมาพึ่งเย็นที่บ้านของเรา  เพราะการเปลี่ยนแปลงสัญชาตญาณของสัตว์ป่าเป็นไปได้ยากมากนะครับ  และไหนจะมีเรื่องของระบบนิเวศน์ที่ไม่สมบูรณ์เหมือนป่าอีก  ยิ่งชวนให้คิด    
ดูอย่างเช่นหมากับแมวเป็นต้น  มนุษย์อยู่กับหมาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนปี  แต่มนุษย์รู้จักกับแมวเพิ่งแค่สามหมื่นกว่าปีเท่านั้น  ด้วยเหตุนี้เอง  หมาสามารถทิ้งสัญชาตญาณเพื่อมาอยู่ร่วมกันกับมนุษย์ได้  แต่แมวยังไม่สามารถทิ้งสัญชาตญาณของสัตว์ป่าได้

🐈สังเกตุง่ายๆครับ  ใครที่บ้านเลี้ยงแมวจะทราบดีว่า  แมวเป็นสัตว์ที่รักอิสระ  ไม่ยอมอยู่ในโซ่จูง  ไม่ชอบถูกกักขัง  แหมคนรักแมวมาอ่าน  ก็คงต้องเถียงกับผมทันทีว่า  แมวที่บ้านชั้นน่ารักจะตายสุภาพ นุ่มนวล ไม่กระโตกกระตากเหมือนหมา  ที่เป็นอย่างนี้สามารถอธิบายได้ครับ

ก็เพราะว่าแมวเป็นสัตว์ที่ยังมีความเป็นสัตว์ป่า  แมวไม่ไว้ใจมนุษย์  แมวเลยแสดงพฤติกรรมที่ไม่ให้มนุษย์รำคาญใจ  เพราะแมวกลัวสัตว์ที่โตกว่ามันทำร้ายมัน  มันเลยเอาอกเอาใจ  แต่หมาไม่เป็นเช่นนั้น  ทุกครั้งที่หมาเห็นเจ้าของก็แสดงความดีใจออกมา  คนเลี้ยงหมาทุกท่านจะทราบความซื่อสัตว์ที่หมามีให้แก่คนดี  บางครั้งเจ้าของไม่อยู่บ้าน  หมาก็จะซึมข้าวปลาไม่ยอมกินปลา  และหลายครั้งที่เราได้ยินกันบ่อยๆว่าหมาสามารถตายแทนมนุษย์ได้
ไม่ใช่เฉพาะ ผึ้ง ต่อ แตน เท่านั้นนะครับ  งูหรือตัวเงินตัวทอง  ถ้าเข้าบ้านก็จะนำโชคลาภมาให้เช่นกัน  แต่เมื่อเขาเข้าบ้านเราคนโบราณบอกว่าอย่าไปตีเขา  ให้จับออกนอกบ้านดีๆ  คิดไว้ในแง่ดีครับ  ว่าเราเป็นคนดีคิดแต่สิ่งที่ดี  สัตว์พวกนี้มีประสาทสัมผัสพิเศษ  ถ้าเราไม่ทำอะไรเขาเขาก็ไม่ทำอะไรเรา หรือถ้ากลัว  ง่ายๆครับ  หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกด หนึ่ง เก้า หนึ่ง ช่วยคุณได้เช่นกัน  หลายท่านนะครับที่ได้โชคลาภอย่างไม่คาดฝันจากเรื่องพวกนี้มาแล้ว  ถ้าไม่ลำบาก  เขาหนีร้อนมาพึ่งเย็น  เราควรต้อนรับเขา  ไม่ควรเบียดเบียนซึ่งกันและกัน

ถ้าถามความเชื่อของผม  ผมเชื่อถึง 70 % เลยทีเดียว  เพราะผมเคยมีประสพการณ์ทั้งด้านดีและด้านร้าย เกี่ยวกับการมาเยี่ยมของสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้  เดี๋ยวสัปดาห์หน้ามาต่อกันเรื่องของฮวงจุ้ยไทยอีกนะครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับโชคลาภ  และความเสื่อมต่างๆครับ..
เรียบเรียงข้อมูลเพิ่มเติมโดย musa

วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2563

ผู้เชี่ยวชาญชี้ นก เรียนรู้การฟังเสียงของกันและกัน

เป็นที่ทราบกันดีว่าสัตว์ป่าจะฟังเสียงซึ่งกันและกันเวลาเตือนภัยว่านักล่ากําลังเข้ามาใกล้ อย่างเช่น นกบางชนิดที่จะบินหนีไป เมื่อนกที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงส่งเสียงดังเพื่อเตือนให้รู้ว่ามีงูอยู่บริเวณนั้น
นกแฟรี เรน (Fairy wren) นกตัวเล็กๆ ที่มีเสียงไพเราะของออสเตรเลีย ไม่ได้รู้ภาษาของนกชนิดอื่นๆ มาแต่กําเนิด การศึกษาวิจัยครั้งล่าสุดชี้ว่า นกเหล่านี้สามารถเรียนรู้ความหมายของเสียงที่สําคัญๆ บางเสียงได้
คุณ Andrew Radford นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยบริสทอล ประเทศอังกฤษ ผู้ร่วมเขียนรายงานฉบับใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Current Biology ช่วงต้นเดือนสิงหาคม บอกกับ Associated Press ว่า นักวิจัยทราบมาก่อนแล้วว่า สัตว์สามารถแปลความหมายภาษาของสัตว์ชนิดอื่นๆ ได้ แต่ไม่ทราบว่าการเรียนรู้ภาษานั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งนกมีวิธีในการเรียนรู้ทักษะชีวิตหลายวิธี ความรู้บางอย่างได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากพ่อแม่ บ้างก็มาจากประสบการณ์ตรงบนโลก
แต่นักวิทยาศาสตร์กําลังสํารวจความรู้ประเภทที่สามที่เรียกว่า "ข่าวสารจากพวกพ้อง"
นักชีววิทยา Andrew Radford และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ได้ร่วมทําการศึกษาในสวนพฤกษศาสตร์แห่งชาติของประเทศในแคนเบอร์รา นักวิจัยติดอุปกรณ์การผลิตเสียงที่ออกแบบมาเป็นพิเศษที่เรียกว่า "tweeter speakers" ไว้กับตัวเอง เพื่อดูว่านกแฟรี เรน จะมีปฏิกิริยาต่อเสียงของนกชนิดอื่นๆ ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นตัวหรือไม่
นักวิทยาศาสตร์เริ่มเปิดเสียงนกสองชนิดที่พวกมันอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน เสียงที่หนึ่งเป็นเสียงเตือนของนกเงือก ซึ่งไม่ได้มีถิ่นกําเนิดอยู่ในออสเตรเลีย และอีกเสียงเป็นเสียงนกที่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นมาที่เรียกว่า “buzz”
เมื่อนกแฟรี เรน ทั้ง 16 ตัวในการศึกษานี้ ได้ยินเสียงที่นักวิทยาศาสตร์เปิดเป็นครั้งแรก พวกมันไม่มีปฏิกิริยาพิเศษใดๆ จากนั้นนักวิทยาศาสตร์พยายามฝึกนกครึ่งหนึ่งให้สามารถรับรู้เสียงร้องของนกเงือกว่าเป็นเสียงเตือน และพยายามฝึกนกอีกครึ่งหนึ่งให้รับรู้เสียง "buzz" ที่สร้างขึ้นโดยคอมพิวเตอร์ว่าเป็นคําเตือน ด้วยการเปิดเสียงที่นอกเหนือไปจากเสียงอื่นๆ ที่นกรู้แล้วว่าเป็นเสียงเตือน รวมถึงเสียงร้องเตือนภัยคุกคามของนกแฟรี เรน เองด้วย
สามวันหลังจากนั้น นักวิทยาศาสตร์ได้ทดสอบว่านกเรียนรู้อะไรบ้าง ผลปรากฏว่า นกแฟรี เรน ที่ได้รับการฝึกด้วยเสียงร้องของนกเงือก บินหนีไปทันทีที่ได้ยินเสียง ส่วนอีกกลุ่มที่ได้รับการฝึกด้วยเสียง “buzz” ก็หนีไปเมื่อได้ยินเสียงนั้นเช่นกัน แต่นกทั้งสองกลุ่มไม่ทําปฏิกิริยากับเสียงของพวกมันเอง โดยนก 12 ใน 16 ตัวบินหนีไปทุกครั้งที่นักวิจัยเปิดเสียงที่ใช้ฝึกนก ส่วนนกอีก 4 ตัว บินหนีเพียงสองในสามครั้ง
Christopher Templeton นักชีววิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแปซิฟิก ในฟอเรสโกรฟ รัฐโอเรกอน ผู้ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการศึกษาครั้งนี้ กล่าวว่า ก่อนที่จะมีการศึกษานี้ นักวิจัยมีความรู้เกี่ยวกับการที่สัตว์เรียนรู้ความหมายของเสียงร้องจากสัตว์ชนิดอื่นๆ เพียงจํากัด
ส่วนคุณ Andrew Radford จากมหาวิทยาลัยบริสทอล กล่าวส่งท้ายว่าความสามารถในการเรียนรู้ที่จะเชื่อมโยงเสียงกับความหมายเข้าด้วยกัน 
ทําให้เกิดความรู้สึกทางชีวภาพ และว่า ถ้าคุณสามารถเรียนรู้ได้เฉพาะในเวลาที่นักล่าปรากฏตัว ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอันตราย

วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2563

เมืองเล็กในฟิลิปปินส์ ลงโทษ การซุบซิบนินทาผิดกฏหมาย

เมืองเล็กๆในฟิลิปปินส์ 
ประกาศบทลงโทษผู้ที่ซุบซิบนินทา ว่ามีความผิดตาม
กฏหมาย

พร้อมบทลงโทษที่น่าอายในชุมชน ตามรายงานของ Wall Street Journal นายเรมอน กุยโค ที่ 3 นายกเทศมนตรีเมืองบินาโลนัน ในจังหวัดปังกาสินัน 
ห่างจากกรุงมะนิลาประมาณ
3 ชั่วโมง ออกกฏหมายให้การซุบซิบนินทา มีความผิดทาง
กฏหมาย 

โดยบอกว่า การซุบซิบนินทา หรือ chismis ในภาษาตากาล็อค จะรุนแรงมากในฤดูร้อน เมื่ออากาศร้อนจัดจะทำให้หลายคนต้องนั่งพักผ่อนใต้ต้นไม้
จิบน้ำอัดลมเย็นๆ เคี้ยวขนมกรุบกรอบ และเริ่มซุบซิบนินทาเป็นของว่าง ขณะที่ประเด็นส่วนใหญ่ในชุมชน หนีไม่พ้นเรื่องปัญหาครอบครัวและฐานะทางการเงินของคนในหมู่บ้าน 

โดยกฏหมายห้ามนินทา
เริ่มต้นเมื่อ 2 ปีก่อน ที่มีบทลงโทษให้ผู้ที่มีความผิดครั้งแรก เจอค่าปรับทันที 500 เปโซ หรือราว 300 บาท และต้องบำเพ็ญประโยชน์ด้วยการเก็บขยะในตอนบ่ายทั้งวันในฐานะคนปล่อยข่าว ซึ่งสร้างความอับอายให้กับผู้ที่กระทำความผิดดังกล่าว 

ทั้งนี้ นายกเทศมนตรีเมืองบินาโลนัน ยอมรับว่า บางคนก็หาผู้กระทำผิดที่แท้จริงได้ยาก เพราะผู้ที่ได้รับข้อหาซุบซิบนินทา มักบอกว่าตนได้ยินมาจากผู้อื่นอีกทีหนึ่ง

ซึ่งพ่อเมืองบินาโลนัน บอกสั้นๆว่า หากทางการพบว่าใครเป็นคนสุดท้ายที่นินท็ต้องจ่ายค่าปรับและรับโทษไป เพราะทุกคนควรจะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ตนกระทำ

รายการบล็อกของฉัน